เสิ่นเทียนตะลึงงัน สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ความรู้สึกหิวโหยและไร้เรี่ยวแรงอย่างรุนแรงถาโถมไปทั่วร่าง
วินาทีนี้ เขามีความรู้สึกเหมือนร่างกายของตนเองว่างเปล่าไปหมดในทันใด
“ผิดปกติ ของสิ่งนั้นกำลังดูดซับแก่นพลังสำคัญในร่างกายของข้า!”
เสิ่นเทียนใช้มือจับตรงไต สัมผัสได้เพียงแก่นพลังสำคัญในร่างกายกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว
ตรงไตของเขาระเบิดพลังดึงดูดสายหนึ่งที่รุนแรง กำลังดูดซับพลังอย่างบ้าคลั่ง
“เชี้ย ทุกคนล้วนแต่กล่าวว่าผู้หญิงอ่อนโยนเหมือนน้ำ เห็นภาพเลย”
ในขณะที่เสิ่นเทียนกำลังบ่นในใจ เขารีบหยิบศิลาวิญญาณจำนวนมากออกจากแหวนมหาสมุทร
ดังคำพูดที่ว่าฝึกจิตหลอมปราณ อันที่จริงแล้วพลังจิตและพลังวิญญาณเป็นพลังงานสองชนิดที่มีความเชื่อมโยงกัน
เพียงแต่พลังวิญญาณบริสุทธิ์มากกว่าพลังจิตทั่วไป
เพราะเหตุนี้ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่มักจะอาศัยอาหารในชีวิตประจำวันสะสมแก่นแท้ของพลังจิต จากนั้นหลอมมันให้กลายเป็นพลังวิญญาณเพื่อฝึกบำเพ็ญ
แต่ถ้าหากมีศิลาวิญญาณจำนวนมากอยู่ในมือ ก็สามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณให้กลายเป็นพลังจิตอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของเสิ่นเทียนในขณะนี้ น้ำมวลหนักปฐมกาลกำลังดูดซับพลังจิตของเขาอย่างบ้าคลั่ง
เขาก็ทำได้แต่ดูดซับศิลาวิญญาณมาเติมส่วนที่ขาดหายไป
ถุงศิลาวิญญาณถูกเสิ่นเทียนนำออกมาทีละถุง กลืนกินพลังวิญญาณที่อยู่ในนั้นอย่างบ้าคลั่ง
หนึ่งร้อยก้อน
สองร้อยก้อน
สามร้อยก้อน
……
ไม่นาน ศิลาวิญญาณที่โดนดูดพลังวิญญาณจนแห้งตกลงสู่พื้น
สีหน้าของเสิ่นเทียนก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ขอบตาของเขายังคงดำจนน่าตกใจ
คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเสิ่นเทียนมีสัมพันธ์กับหญิงงามจนหมดสภาพ ทำให้พลังหยินหยางในไตไม่สมบูรณ์!
ดูดซับต่อ!
หนึ่งพันก้อน
สองพันก้อน
สามพันก้อน
……
ถุงที่ว่างเปล่าถูกโยนออกไปด้านข้างถุงแล้วถุงเล่า กุ้ยกงกงและคนอื่นมองจนตาค้าง
นี่มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้วกระมัง!
ในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งชั่วยาม ถึงขั้นดูดซับศิลาวิญญาณไปแล้วหลายพันก้อน
ถึงเป็นผู้บำเพ็ญระดับแก่นพลังทอง กลืนกินศิลาวิญญาณมากเช่นนี้ก็คงจะท้องอืดแล้วกระมัง!
ทว่าเสิ่นเทียนกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เขานั่งขัดสมาธิ ร่างกายราวกับเป็นวังวนขนาดใหญ่ กลืนกินพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง
ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากหยุดก็สามารถหยุดได้แล้ว
หลังจากที่สัมผัสได้ว่าเสิ่นเทียนส่งถ่ายพลังวิญญาณ น้ำมวลหนักปฐมกาลในไตยิ่งฮึกเหิม
มันเลิกดูดซับพลังจิตของเสิ่นเทียนทันที หันไปดูดซับพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่งแทน
พลังวิญญาณที่เสิ่นเทียนส่งถ่ายเข้าไปในร่างกายโดนน้ำมวลหนักปฐมกาลกลืนกินจนหมด
แต่สิ่งที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงคือหลังจากน้ำมวลหนักปฐมกาลกลืนกินพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายของเสิ่นเทียนก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลอมกายขั้นหนึ่ง
หลอมกายขั้นสอง
หลอมกายขั้นสาม
หลอมกายขั้นสี่!
ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งชั่วยาม กลิ่นอายของเขาถึงขั้นเพิ่มจากหลอมกายขั้นหนึ่งไปถึงขั้นสี่
ต้องบอกก่อน บนเส้นทางบําเพ็ญเซียนยิ่งเดินไกลมากเท่าไร เส้นทางข้างหลังก็ยิ่งยากลำบากขึ้นเท่านั้น
ทะลวงถึงระดับหลอมกายขั้นสี่ ยากยิ่งกว่าการทะลวงหลอมกายขั้นหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบเท่า!
ถึงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนศาสตร์หลอมปราณ ก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถทะลวงได้ในระดับความเร็วเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ศาสตร์ที่เสิ่นเทียนฝึกบำเพ็ญเป็นศาสตร์หลอมกายเทพมาร
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นระดับนี้น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง!
……
“เป็นไปได้อย่างไร”
กุ้ยกงกงและฉินเกามองเสิ่นเทียนด้วยความตกตะลึง สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังสงสัยความเป็นจริงของชีวิต
สามวันมานี้อาศัยศิลาวิญญาณที่เสิ่นเทียนมอบให้ พลังบำเพ็ญของคนทั้งสองก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว
พลังบำเพ็ญของกุ้ยกงกงได้ก้าวหน้าไปอีกขั้น บรรลุถึงระดับหลอมปราณขั้นแปด
เดิมทีฉินเกาอยู่ในระดับสูงสุดของหลอมปราณขั้นสาม ก็ทะลวงถึงระดับหลอมปราณขั้นห้าเช่นกัน
ที่ผ่านมาคนทั้งสองตกใจกับผลลัพธ์การถ่ายทอดของคัมภีร์มารสู่สุริยันมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับความก้าวหน้าที่เพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดดขององค์ชาย
คนทั้งสองรู้สึกเพียงการบำเพ็ญของตนเองไม่คืบหน้าเลย
ศาสตร์หลอมกายที่ตนเองฝึกบําเพ็ญนั้นง่ายกว่ามาก ส่วนศาสตร์หลอมกายที่องค์ชายฝึกยากยิ่งกว่า?
วิชาที่ตนเองฝึกเป็นวิชาที่สืบทอดโดยราชันมารสู่สุริยันที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคัมภีร์มารที่มีความเร็วในการฝึกบำเพ็ญมากที่สุดจริงหรือ
ส่วนการฝึกบำเพ็ญขององค์ชาย เป็นทักษะหลอมกายคบเพลิงที่ซื้อกลับมาในราคาห้าตำลึงเงิน?
เหตุใดถึงรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังเล่นตลกกับพวกข้า!
นอกเสียจากอันที่จริงแล้วองค์ชายเป็นบุคคลในตำนาน
ผู้บำเพ็ญเซียนอัจฉริยะที่มีเพียงหนึ่งในหมื่น
……
ในแววตาเสิ่นเทียนปรากฏให้เห็นประกายแสง หัวเราะเสียงดังแล้วพุ่งเข้าไปหากุ้ยกงกง
มือขวาของเขากำเป็นหมัด ชกใส่กุ้ยกงกงอย่างกะทันหัน
จุดที่หมัดพุ่งผ่านราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ส่งเสียงฉีกกระชากอากาศดังกึกก้อง
เห็นได้ชัด กำลังของหมัดนี้เทียบกับเมื่อสามวันก่อน มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก
สีหน้าของกุ้ยกงกงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แลดูค่อนข้างเคร่งขรึม
แม้พลังบำเพ็ญในปัจจุบันของเขาจะบรรลุถึงระดับหลอมปราณขั้นแปด อยู่เหนือกว่าเสิ่นเทียนไปไกลมาก
แต่วินาทีนี้ รัศมีของเสิ่นเทียนทำให้เขาตกใจมาก
……
“ทานตะวันสู่สุริยันเบ่งบาน!”
กุ้ยกงกงสูญหายใจเข้าลึกๆ คำรามเสียงดัง
ทันใดนั้นมีพลังวิญญาณสีแดงระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา ก่อตัวขึ้นเป็นดอกทานตะวันสีเลือดตรงหน้าของเขา
นี่คือกระบวนท่าป้องกันที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’—ทานตะวันมารพิทักษ์ร่าง
ควบแน่นพลังวิญญาณให้กลายเป็นดอกทานตะวันมารสีแดง ต้านทานอยู่ตรงหน้าของตนเอง
ดอกทานตะวันมารดอกนี้มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งแฝงอยู่ ถึงเป็นผู้บำเพ็ญหลอมกายเทพมารในระดับเดียวกันก็ยากที่จะทำลายได้
ตูม!
หมัดของเสิ่นเทียนกระแทกใส่บนดอกทานตะวันมารอย่างแรง
สีหน้าของกุ้ยกงกงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสามารถสัมผัสได้ว่าดอกทานตะวันมารสั่นเล็กน้อย
“เป็นไปได้อย่างไร ทั้งที่พลังบำเพ็ญขององค์ชายเป็นเพียงระดับหลอมกายขั้นสี่ เหตุใดถึงรู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่าระดับหลอมกายขั้นเจ็ดทั่วไป!”
ต้องบอกก่อนว่าทักษะหลอมกายเทพมารส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นวิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอกของสำนักบําเพ็ญเซียนใหญ่
มีเพียง ‘ทักษะหลอมกายคบเพลิง’ ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ถึงได้แพร่หลายไปทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเซียน
แต่วิชาที่ถูกแพร่หลายไปทั่วท้องตลาดเช่นนี้ กลับถูกองค์ชายฝึกฝนจนมีอนุภาคที่น่ากลัวเช่นนี้?
พรสวรรค์ฝึกบำเพ็ญขององค์ชายน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
กุ้ยกงกงไม่มีเวลาให้คิดมาก สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เพราะการจู่โจมของเสิ่นเทียนพุ่งเข้ามาอีกแล้ว
“ลุงกุ้ย ระวังให้ดี!”
เสิ่นเทียนคำรามลากเสียงยาว ตบไปที่ตำแหน่งตรงไตของตนเองโดยพลัน
จากนั้นเห็นเพียงมีของเหลวสีเงินปรากฏขึ้นบนพื้นผิวกำปั้นข้างขวาของเขา
หลังจากของเหลวสายนี้ปรากฏขึ้น รัศมีบนตัวของเสิ่นเทียนเพิ่มพูนขึ้นอย่างกะทันหัน
เขาออกหมัดแล้ว!
……………………………………………………..
[1] จุน ตามอัตราชั่งของประเทศจีน 1 จุนเท่ากับ 15 กิโลกรัม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน