บทที่ 461 วิญญาณร้ายมาเยือน มหาเคราะห์ภัยห้าดินแดน!
เมื่อได้กระดานหมากฟ้าขุ่น เสิ่นเทียนพลันรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่ขาดทุนแล้ว
แต่จากนั้นเขาก็นึกถึงปัญหาร้ายแรงอีกข้อ
เขาปิดด่านบำเพ็ญที่นี่มาร้อยแปดสิบปี โลกสะพานปิดไปนานแล้ว
โลกสะพานเปิดเพียงร้อยปี ถึงตอนนั้นจะส่งผู้บำเพ็ญที่นี่ออกไปเอง จากนั้นทั้งโลกสะพานจะจมเข้าไปในมิติ รออีกแปดพันปีถึงจะปรากฏ
ดังนั้น จึงไม่เคยมีใครอยู่ในโลกสะพานได้มาก่อน แต่ตอนนี้ จุดที่เสิ่นเทียนอยู่คือส่วนในของกระดานหมากฟ้าขุ่น ที่นี่ตั้งอยู่นอกโลกสะพาน เป็นอีกมิติหนึ่ง
ปัญหาคือโลกสะพานปิดลง เขาจะออกไปอย่างไร
เสิ่นเทียนถาม “ผู้อาวุโสฟ้าขุ่น ข้าจะออกไปได้อย่างไร”
เขาไม่กังวลมาก เพราะอย่างไรที่นี่ก็มีราชาเซียนแห่งยุค การจะออกจากโลกสะพานก็ง่ายๆ เองไม่ใช่หรือ
ราชาเซียนฟ้าขุ่นจะต้องมีหนทางแน่นอน!
อยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ ถึงเวลาออกไปแล้ว
ไม่รู้ว่าร้อยกว่าปีผ่านไป ห้าดินแดนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
มหาเคราะห์ภัยจะมาเยือนแล้วหรือไม่ กุยช่ายที่น่ารักพวกนั้นจะยังสบายดีหรือไม่
พิธีสืบทอดเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์น่าจะผ่านไปแล้วกระมัง!
ไม่รู้ว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คนใหม่จะเป็นใคร!
……
ราชาเซียนฟ้าขุ่นส่ายหน้า “โลกสะพานเชื่อมฟ้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์มหามรรค กำเนิดขึ้นจากมหามรรคฟ้าดิน สืบทอดกันมายาวนาน ลี้ลับอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครฝืนเปิดโลกสะพานเชื่อมฟ้าได้ อีกทั้งมิติที่นี่ยังมีปราการหนาแน่นมาก ต่อให้เป็นข้าก็ยังเปิดไม่ได้”
ไม่มีใครรู้เบื้องหลังของโลกสะพานเชื่อมฟ้า รู้แค่ว่าต้นไม้นี้คงอยู่มาแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว มิหนำซ้ำ สะพานเชื่อมฟ้ายังปรากฏทุกแปดพันปีครั้งมาตลอด เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคแห่งการแย่งชิง ระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณฟ้าดินเหนือกว่าอดีต โลกสะพานเชื่อมฟ้าจึงเปิดก่อนเวลาพันปี
แต่ต่อให้พลังวิญญาณเข้มข้นกว่านี้ก็ไม่มีทางให้โลกสะพานเปิดอีกในเวลาอันสั้นได้
เสิ่นเทียนตัวชา ดวงตาเหม่อลอย “อะไรนะ นั่นหมายความว่าออกไปไม่ได้หรือ”
ไม่กระมัง!
ไม่กระมัง!
ไม่กระมัง!
พลาดโชคลิขิตดวงชะตาไปมากมายยังไม่เท่าไร ยังต้องรออีกแปดพันปีถึงจะออกไปได้รึ
แม้แต่ราชาเซียนยังเปิดมิติไม่ได้ เช่นนั้นใครจะเปิดได้ล่ะ
แปดพันปี นั่นคือแปดพันปีเชียวนะ!
ถึงตอนนั้นจริงๆ ข้าคงแก่แล้ว ห้าดินแดนไม่รู้จะกลายเป็นสภาพใดแล้ว
มันบ้าอะไรกัน!
ข้าปิดด่านบำเพ็ญอยู่ดีๆ ก็หายตัวไปเลยหรือ
ใบหน้าเสิ่นเทียนเต็มไปด้วยความสับสน รู้สึกว่าสมองดังวิ้งๆ
แม้ให้เขาฝึกบำเพ็ญที่นี่แปดพันปีจริงๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ขอแค่ทะลวงระดับอริยะ อายุขัยจะเพิ่มไปหมื่นปี ไม่ถึงกับแก่ตาย
แต่นั่นไม่สนุกเลย
ถึงตอนนั้นคนแก่ชราก็ไร้ค่า โลกเปลี่ยนไป กุยช่ายสหายเก่าในอดีตจะเหลือเท่าไรก็ยังไม่รู้
เวลานี้ เสิ่นเทียนรู้สึกคับแค้นใจขึ้นมา
เมื่อเห็นท่าทีของเสิ่นเทียน ราชาเซียนฟ้าขุ่นก็เอ่ยขึ้น “สหายน้อยใจเย็นๆ ถึงข้าจะปรากฏตัวอีกครั้งผ่านสะพานเชื่อมฟ้าไม่ได้ แต่ก็สละพลังแห่งดวงจิตได้ อาจจะเปิดได้รอยแยกหนึ่ง ส่งสหายน้อยออกไปได้”
ราชาเซียนฟ้าขุ่นถอนหายใจหนักหน่วง เหมือนตัดสินใจ
เสิ่นเทียนตัวสั่นเล็กน้อย นัยน์ตาฉายประกายซาบซึ้งใจ “ผู้อาวุโส นี่จะได้อย่างไรกัน”
สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว ดวงจิตเหมือนกับจิตวิญญาณอีกชนิด แม้ดวงจิตสลายจะไม่ทำให้ร่างจริงตาย แต่ก็บาดเจ็บสาหัส
ตอนนี้ราชาเซียนฟ้าขุ่นไม่เสียดายสละดวงจิตของตนเพื่อส่งเขาออกไป
จิตใจที่อุทิศตัวเพื่อคุณธรรมเช่นนี้น่านับถือจริงๆ
เยี่ยฉิงชางด้านข้างทำหน้าแปลกประหลาด
เปิดมิตินี้ยากขนาดนั้นเลยรึ ถึงขั้นต้องใช้พลังดวงจิตของราชาเซียนหมดเลยรึ
ไม่กระมัง ไม่กระมัง ไม่กระมัง!
คงไม่ได้ยากขนาดนั้นจริงๆ หรอกนะ
เยี่ยฉิงชางอดใจอยากลองดูไม่ได้ แต่เหมือนนึกอะไรได้จึงหยุดมือลง
ข้าไม่รู้ว่าเปิดได้หรือไม่ได้ แต่ราชาเซียนพูดเช่นนี้ต้องไม่ผิดแน่!
อืม!
ไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรเลย
ต่อให้รู้ก็พูดไม่ได้ รู้ยิ่งน้อยเท่าไรยิ่งมีชีวิตดีมากเท่านั้น!
เยี่ยฉิงชางคลึงใบหน้าแก่ชราใต้หมอกม่วง รู้สึกได้เลยว่าบวมกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
…..
ราชาเซียนฟ้าขุ่นโบกมือ ก่อนพูดอย่างแน่วแน่ “ข้าตัดสินใจแล้ว สหายน้อยเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ นำพาความหวังมาให้โลกนี้ ต่อให้ข้าสละดวงจิตไปแล้วอย่างไร ถือเสียว่าข้าทำเรื่องสุดท้ายให้กับเจ้า หวังว่าเมื่อสหายน้อยออกไปแล้ว จะส่งเสริมมรดกของข้าให้ยิ่งใหญ่”
เมื่อเอ่ยจบ ราชาเซียนฟ้าขุ่นก็ไม่รอให้เสิ่นเทียนเอ่ยอีก แต่ปลุกพลังเทพไม่มีสิ้นสุด
ทันใดนั้นเขาเปล่งแสงหมื่นจั้งทั้งตัว พลังแห่งดาราเหมือนคลื่นลูกใหญ่ถาโถมฟ้าดิน
กฎเกณฑ์ไร้พรมแดนหลั่งไหลออกมา เชื่อมลำดับมหามรรคพุ่งเข้าสู่จักรวาล
บึ้ม!
ห้วงอากาศถูกฉีกเป็นรอยแยกยักษ์ กระแสมิติปั่นป่วนหลั่งไหลไม่หยุด กฎเกณฑ์มหามรรคปั่นป่วนถึงที่สุด
ส่วนผิวกายราชาเซียนฟ้าขุ่นอ่อนแสงลงมาก แม้แต่กายแห่งดวงจิตนี้ยังลอยล่องเป็นอากาศ เหมือนจะสลายไปได้ทุกเมื่อ
“สหายน้อย เส้นทางเปิดแล้ว รีบออกไป เส้นทางไม่มั่นคง ข้าไม่อาจคุมตำแหน่งได้ จะสุ่มเคลื่อนย้ายออกไป”
ราชาเซียนฟ้าขุ่นตะโกนเสียงดัง เหมือนยื้อไว้ได้ไม่นานนัก
เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ขอบคุณผู้อาวุโสฟ้าขุ่นมาก! บุญคุณยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโส แซ่เสิ่นจะไม่มีวันลืมเลย!”
ในเมื่อราชาเซียนฟ้าขุ่นสละดวงจิตเพื่อเปิดรอยแยกที่นี่ให้เขา เขาก็ไม่งอแงไร้เหตุผลอีก
หากดวงจิตราชาเซียนหายไป เขายังไม่ออกไป เช่นนั้นก็ต้องอยู่ที่นี่สิ
เสิ่นเทียนแยกแยะเรื่องราวหนักเบาช้าเร่งด่วนได้ดี จะไม่ทำให้เสียเรื่อง
เขาได้แต่ซาบซึ้งอยู่ในใจ พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์!
เขาโค้งตัวให้ราชาเซียนฟ้าขุ่นด้วยความเคารพ ก่อนจะพุ่งขึ้นไป ผ่านรอยแยกมิติออกไปจากโลกนี้
เยี่ยฉิงชางย่อมตามเสิ่นเทียนออกไป เพียงแต่ว่าตอนที่ออกไปนั้น เขายังมองราชาเซียนฟ้าขุ่นอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง
จากนั้นสองคนออกจากโลกเล็กกระดานหมากฟ้าขุ่นไปพร้อมกัน
พอเห็นดังนั้น ราชาเซียนฟ้าขุ่นก็ถอนหายใจโล่งอกเบาๆ
“ทำถึงขนาดนี้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วกระมัง!”
เหอะๆ ข้านี่ฉลาดจริงๆ ได้สร้างความรู้สึกดีอีกแล้ว
สมกับเป็นข้า!
เขามองไปทางที่เสิ่นเทียนหายไปอย่างลึกซึ้ง ร่างเงากลายเป็นจุดแสงดาวหายไปช้าๆ
…..
โลกข้างนอก หุบเขามหึมาแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีร่องหุบเขามากมาย หินผาตั้งตระหง่าน เหมือนเหวลึก ตั้งอยู่ส่วนลึกสุดของร่องหุบเขานับหมื่น
ที่นี่ต่างกับหุบเขาธรรมดา หินผาเป็นสีน้ำตาลเลือด แดงก่ำแสบตา เหมือนเปื้อนโลหิตที่ยังไม่แห้ง ซึมลึกลงไป
ในอากาศอบอวลไปด้วยหมอกเทา ความหนาวและมืดเฉียบคม กลิ่นอายพลังทำให้จิตใจคนหวาดกลัว
ที่นี่ไม่เหมือนหุบเขาเลย แต่เหมือนนรกชั่วร้ายมากกว่า
รอบนอกหุบเขา มีสามร่างเงากำลังคลำมาทางนี้อย่างเงียบเชียบ
หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษขอบตาดำ สวมชุดคลุมขาว
ผิวกายเขาแผ่พลังแห่งมิติอ่อนๆ เหมือนหลอมรวมกับฟ้าดินรอบตัว ว่างเปล่าและล่องลอย
ข้างกายเขายังมีเต่าดำยักษ์สีขาวและคนอ้วนสวมชุดนักพรตโบราณ
พวกเขาเปล่งแสงทั้งตัว เหยียบลายเทพพิเศษ ขณะเดียวกันยังซ่อนตัวในมิติ
ดังนั้นกลิ่นอายพลังของสามคนนี้จึงเบาบางมากจนไม่สังเกตเห็น กำลังเดินหน้ามาเรื่อยๆ
สามคนนี้ก็คือหวังเสินซวี ไป๋ตี้และเยวี่ยอวิ๋นเต๋อ
ตอนนี้เองเยวี่ยอวิ๋นเต๋อเอ่ยขึ้น “สหายหวัง สหายไป๋ ครั้งนี้พวกเราราบรื่นเกินไปหรือไม่ เหตุใดถึงไม่เจอเจ้าลูกวิญญาณร้ายเลย”
เขาทำหน้าสงสัย รู้สึกแปลกๆ
เป้าหมายที่พวกเขามาในครั้งนี้คือแดนต้องห้ามวิญญาณร้าย เพื่อช่วยผู้อริยะที่ถูกจับตัวมาเป็นเชลย
หลังจากโลกสะพานเปิดมาร้อยปี เสาเอกของทุกแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างมุ่งหน้าไปตามหาโชคลิขิตที่โลกสะพาน ตระหนักรู้มหามรรค
แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่จึงอยู่ในสภาวะขาดคน และในตอนนี้เอง ลัทธิวิญญาณร้ายที่ซ่อนตัวมาหลายปีฉวยโอกาสเคลื่อนไหว จู่โจมห้าดินแดน
กองทัพลัทธิวิญญาณร้ายดำทมิฬบุกเข้ามาเพื่อสร้างหายนะให้อาณาประชาราษฎร์ เข่นฆ่าศพเกลื่อนกลาด โลหิตนองเป็นสายน้ำ
ห้าดินแดนพลันเข้าสู่กลียุค ขุมอำนาจมากมายถูกทำลาย สรรพสัตว์ลำบากแร้นแค้น หมอกโลหิตพุ่งขึ้นฟ้า ย้อมท้องนภาเป็นสีแดง
แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ยังไม่อาจเลี่ยง ถูกลัทธิวิญญาณร้ายจู่โจม สังหารโลหิตนองเป็นสายน้ำ
ต้องรู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่มียอดค่ายกลคุ้มกัน แม้จะขาดเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสสูงสุดไปส่วนหนึ่ง ก็ไม่ถึงกับแตกพ่ายเร็วขนาดนี้
แต่กองทัพลัทธิวิญญาณร้ายเหมือนอาวุธชั่วร้ายที่แหลมคมอย่างยิ่ง พุ่งทะลวงเข้าส่วนในแดนศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีศักยภาพอ่อนแอมากมายจึงล่มสลายลงในศึกนี้ สิ่งมีชีวิตเหลือคณานับกลายเป็นวิญญาณใต้ดาบลัทธิวิญญาณร้าย
เรื่องนี้กระเทือนห้าดินแดน ทำให้ผู้คนมากมายใจสั่นกลัว
พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดลัทธิวิญญาณร้ายถึงเหิมใจและดุร้ายได้เช่นนี้ แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดกันมาไม่รู้กี่ปียังต้านไม่ไหว
ต่อให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์กับผู้อาวุโสสูงสุดในโลกสะพานจะกลับมาป้องกันอย่างรวดเร็ว ก็ยังต้านการบุกของกองทัพลัทธิวิญญาณร้ายไม่ได้
……
ไม่นานนัก ทุกคนก็พบสาเหตุ
ที่แท้เบื้องหลังกองทัพลัทธิวิญญาณร้ายมีวิญญาณร้ายต่างแดนช่วยอยู่
นั่นคือวิญญาณร้ายน่ากลัวที่มาจากนอกฟ้า มีศักยภาพแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทั้งยังมีอาวุธสังหารน่าสะพรึง
ขุมอำนาจส่วนใหญ่ต้านการรุกรานจากกองทัพวิญญาณร้ายไม่ไหว ถูกสังหารลงทั้งหมด
สุดท้าย ราชวงศ์เซียนต้าฮวงยังตื่นตกใจ ผู้แข็งแกร่งสุดยอดมากมายออกมือ หมายจะกำราบกองทัพลัทธิวิญญาณร้าย
ในที่สุดก็มาอยู่บนแดนรกร้างแห่งหนึ่ง เห็นผู้สูงศักดิ์สวรรค์กับผู้อริยะที่ถูกคุมขังไว้
คนพวกนั้นถูกพันธนาการพลังบำเพ็ญทั้งหมด รอยแผลเต็มตัวดูน่าตกใจ น่าสงสารยิ่งนัก
และยังมีคนส่วนใหญ่ถูกควักดวงตาสองดวง ตัดแขน ยังไม่ตาย ยังคงร้องโอดครวญไม่หยุด
ลัทธิวิญญาณร้ายไม่สังหารผู้บำเพ็ญระดับสูงพวกนี้ง่ายๆ คนพวกนี้คือสารอาหารที่ดีที่สุดที่เหนี่ยวนำวิญญาณร้ายต่างแดนให้มาเยือนได้
แต่การไม่สังหารพวกเขาไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทรมาน ดูจากสภาพคนพวกนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกทารุณอย่างหนัก
“ช่วยคนก่อน แล้วค่อยมาคิดบัญชีกับพวกมัน!”
ดวงตาหวังเสินซวีเต็มไปด้วยไฟ โกรธจัดแล้ว
ไป๋ตี้กับเยวี่ยอวิ๋นเต๋อเห็นดังนั้นก็มองหน้ากัน ก่อนจะตามกันเข้าไป ทว่าตอนนี้เองลายเทพไร้พรมแดนพลันแผ่คลุมฟ้าดิน ส่องสว่างขึ้น พุ่งขึ้นฟ้า!
พลังชั่วร้ายสั่นกระเพื่อมไม่แน่นอน กลายเป็นม่านแสงสีเทาปกคลุมทั้งพื้นที่นี้ไว้
“แย่แล้ว!”
สามคนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พวกเขาพบว่ามิติที่นี่ถูกพันธนาการไว้ทั้งหมด
ด้วยกำลังของพวกเขาไม่อาจฉีกมิติได้ ถูกจับตัวไว้แล้ว
ไป๋ตี้พลันร้องเสียงดัง “อะไรกัน พวกเราติดกับแล้ว!”
……
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณร้ายใช้คนพวกนี้เป็นเหยื่อล่อให้พวกเขามาติดกับ
และตอนนี้เอง หมอกสีเทาสั่นไหวอย่างรุนแรง มีร่างเงาน่าสะพรึงหนึ่งลอยขึ้นมาจากในนั้น
ใบหน้าพวกมันน่าเกลียดน่าชัง ดำเมี่ยมทั้งตัวเหมือนมาร ผิวกายยังมีหนามกระดูกสีดำแหลมคม
เขี้ยวแหลม ดวงตาแดงก่ำ แผ่พลังดุร้ายออกมาทุกส่วน เหมือนจะทำให้จิตใจคนถลำลงไป
สิ่งมีชีวิตพวกนี้คือวิญญาณร้ายต่างแดน
วิญญาณร้ายต่างแดนพวกนี้ล้วนผ่านเข้ามาจากรอยแยกของโลกนอกฟ้า มีศักยภาพแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
วิญญาณร้ายที่มีพลังบำเพ็ญอ่อนแอที่สุดในนั้นก็เทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ ผู้ที่มีศักยภาพค่อนข้างแกร่งก็ยังเทียบเท่ากับผู้อริยะเผ่ามนุษย์
และที่สำคัญกว่านั้นคือวิญญาณร้ายมีจำนวนมหาศาล อัดแน่นเต็มหุบเขาไปหมด
วิญญาณร้ายหลายร้อยตัวออกมาพร้อมกัน แผ่พลังชั่วร้ายเข้มข้นบดบังฟ้าบังดวงตะวัน น่าสะพรึงถึงที่สุด เหมือนจะพลิกกลับท้องนภา
วิญญาณร้ายพวกนี้มีกลิ่นอายพลังน่ากลัว วิญญาณร้ายต่างแดนเหนือกว่าระดับอริยะมีมากถึงสิบกว่าตัว ในนั้นยังมีการคงอยู่ระดับอริยะแท้
ทว่าตรงหน้าวิญญาณร้ายพวกนี้ยังมีมนุษย์คนหนึ่งบัญชาการอยู่
คนนี้สวมเกราะชั่วร้ายสีดำสนิท ทั่วร่างมีเปลวเพลิงสีดำวนเวียน กลิ่นอายพลังบ้าคลั่งและน่ากลัว เหมือนผีร้ายจากนรกจะบุกเข่นฆ่าโลกมนุษย์
พวกหวังเสินซวีสามคนดวงตาหรี่แคบลง ใบหน้าเปลี่ยนสีไป “เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้”
คนนี้คือเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้หนึ่งในสามเจ้าผู้คุมกฎลัทธิวิญญาณร้าย!
หลังจากเจ้าผู้คุมกฎอู๋เซิงสิ้นชีพลง ลัทธิวิญญาณร้ายก็เหลือเพียงสามเจ้าผู้คุมกฎ
นอกจากเจ้าลัทธิวิญญาณร้ายผู้ลึกลับที่ไม่เคยปรากฏตัวแล้ว รองเจ้าลัทธิวิญญาณร้ายทั้งสองกับสามเจ้าผู้คุมกฎเคยปรากฏตัวและทำมหาศึกกับราชวงศ์เซียนต้าฮวง
ดังนั้น พวกหวังเสินซวีย่อมรู้จักเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้
เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้เป็นเจ้าผู้คุมกฎลัทธิวิญญาณร้าย มีพลังบำเพ็ญแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เป็นมหาอริยะสูงสุดอย่างแท้จริง
ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้พวกเขาจะถูกเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้ปิดล้อม ทั้งยังเข้ามาอยู่ในวงล้อมเองอีก
ดูจากสถานการณ์แล้ว ลัทธิวิญญาณร้ายคงรู้ก่อนแล้วว่าพวกเขาจะมา จึงวางกับดักเอาไว้
พวกหวังเสินซวีสามคนมีสีหน้าจริงจัง ถอนหายใจว่าครั้งนี้เจอปัญหาใหญ่แล้ว
…..
ตอนนี้เองเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้เดินหนึ่งก้าว หัวเราะเยาะด้วยน้ำเสียงแหบแห้งดั่งผีร้ายคำราม
“ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ท้องนภาคนใหม่หวังเสินซวีมีวิชามิติลึกล้ำ ช่วยเชลยศึกไปไม่น้อย ทำงานใหญ่ของลัทธิวิญญาณร้ายข้าเสียเรื่อง
วันนี้ข้ายืม ‘ถาดล่ามโลก’ อาวุธเซียนสูงสุดมา ก็เพื่อจับเจ้าไว้ที่นี่ เข้าใจแล้วสิ!”
พวกหวังเสินซวีสามคนอาศัยกฎเกณฑ์มิติก่อความวุ่นวายในแดนต้องห้ามลัทธิวิญญาณร้าย จนในที่สุดก็ถูกเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้จับตามอง
เพื่อปิดล้อมพวกหวังเสินซวี เขาจึงไม่เสียดายยอมจ่ายหนักเพื่อยืมถาดล่ามโลกมาขังพวกเขาไว้
สิ่งนี้คืออาวุธเซียนสูงสุดสายมิติ สามารถผนึกทั้งมิติได้ ตัดขาดจากมิติ
ต่อให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาอริยะออกมือ ก็ไม่อาจทำลายผนึกนี้ได้
ใช้รับมือกับสามคนที่มีพลังมิติเหมาะสมที่สุดแล้ว!
เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้เผยแววตาเหี้ยมโหด ในนั้นมีไฟชั่วร้ายสีดำขยับไหว จ้องสามคนด้วยความละโมบ
ไอ้ไม้กวนอุจจาระสมควรตาย ข้าอยากรู้นักว่าวันนี้พวกเจ้าจะหนีไปได้อย่างไร
เหอะๆ ครั้งนี้กำไรเลือดสาดจริงๆ!
…….
สามคนนี้เป็นโอรสสวรรค์ระดับปีศาจที่สุดของห้าดินแดน เหนือกว่าผู้อริยะปกติพวกนั้นไปไกลโข
หากเปลี่ยนพวกเขาเป็นสารอาหาร เซ่นไหว้ให้ท่านวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเชิญวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาลงมาเยือนได้
เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้จะได้รางวัลจากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!
……………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน