บทที่ 463 เสิ่นเทียนเอ่ย พวกเจ้าถูกข้าคนเดียวล้อมไว้หมดแล้ว!
ไป๋ตี้มองเยวี่ยอวิ๋นเต๋อด้วยความปวดไข่ ว้าวุ่นใจว่าจะชิงโอกาสเอาตัวรอดอีกครั้งดีหรือไม่
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากตาย!
เหมือนคาดเดาความคิดของไป๋ตี้ไว้นานแล้ว เยวี่ยอวิ๋นเต๋อก็กระโดดมาข้างกายหวังเสินซวี
เขาตะโกนเสียงดัง “บรรพจารย์ท่านไม่ต้องกลัว หลังพวกเราออกไปแล้วจะแจ้งราชวงศ์เซียนทันที รอกำลังเสริมราชวงศ์เซียนมาถึง พวกมันก็น่าจะหนีไป ด้วยศักยภาพของท่าน ต้านไว้สองสามชั่วยามต้องไม่มีปัญหาแน่!”
ไป๋ตี้มุมปากกระตุก อดด่าทอในใจมิได้
มารดาเถอะ รู้จักแต่ทำร้ายข้า!
เจ้าพวกนี้ต้านไว้ได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยรึ แค่เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้ ข้าก็สู้ไม่ได้แล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งวิญญาณร้ายมากมายขนาดนั้นข้างหลัง
หากข้าเข้าต้านจริงๆ คงถูกทุบตีแตกทุกนาทีแน่
…..
เยวี่ยอวิ๋นเต๋อไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น
หายนะมาเยือนต่างคนต่างบิน เอาตัวรอดเป็นยอดดี
เขาพูดเร่งรัด “สหายหวัง เรารีบไปเถอะ เต่าดำแก่มีการป้องกันสูง ต้องต้านไหวแน่!”
ขืนยังไม่ไป คงไม่ต้องมีใครไปแล้ว!
หวังเสินซวีพยักหน้า “เช่นนั้นก็รบกวนผู้อาวุโสไป๋ตี้ช่วยสกัดศัตรูให้พวกเราด้วย! วางใจเถอะ แซ่หวังจะพากำลังเสริมกลับมาช่วยเจ้าแน่นอน!”
เอ่ยจบ หวังเสินซวีก็หันหน้าไปเลย เตรียมปลุกวิชาลับพาทุกคนเคลื่อนย้ายออกไป
ทว่ามีพลังแห่งมิติแก่กล้าถาโถมเข้ามา พลังนี้ปกคลุมฟ้าดิน คลุมพื้นที่นี้ไว้ทั้งหมด รอยแยกที่เดิมทีถูกฉีกขาดก็สมานคืนด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน หายไปทั้งหมด
เมื่อเห็นภาพนี้ หวังเสินซวีตาค้าง ตะลึงอยู่ที่เดิม
ก่อนจะเห็นเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้พุ่งเข้ามาจากข้างหลังพวกเขา
ในมือเขาถือถาดกลมที่มีแสงเทพวนเวียนและมีกลิ่นอายพลังแก่กล้าชิ้นหนึ่ง แผ่พลังมิติสูงสุดออกมา
สิ่งนี้คืออาวุธเซียนสูงสุดถาดล่ามโลก
เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้หัวเราะเยาะ “อย่าผลักกันไปมาเลย วันนี้พวกเจ้าไม่มีรอดไปได้ทั้งนั้น!”
เขาใช้ถาดล่ามโลกพันธนาการมิตินี้ไว้อีกครั้ง ไม่มีใครรอดไปได้
จากนั้นดวงตาเขาเป็นสมาธิขึ้น พบว่าที่นี่มีคนเพิ่มมาอีกคน
แต่เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้ไม่สนใจ เมื่อครู่เขาประมาทเกือบปล่อยให้หวังเสินซวีหนีไปได้ ดีที่คนนี้ปรากฏตัว ขวางพวกหวังเสินซวีไว้
ดังนั้นเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้ถึงตามมาทันและผนึกมิตินี้ไว้อีกครั้ง
พูดให้ถูกคือครั้งนี้เขาต้องขอบคุณคนนี้มาก!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะส่งพวกเขาไปสบายให้ไว เซ่นไหว้ให้กับท่านวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!
หากเจ้าหนูนี่รู้คงต้องซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล!
เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้หัวเราะเยาะไม่หยุด
มนุษย์ที่จู่ๆ ปรากฏมาคนนี้หนุ่มมาก อาจจะเป็นโอรสสวรรค์รุ่นเดียวกับหวังเสินซวี
แม้โอรสสวรรค์ยุคนี้จะแกร่งกว่าในอดีต ทะลวงระดับอริยะ แต่ก็ไม่ถึงขั้นคุกคามเขาได้
ด้วยศักยภาพมหาอริยะสูงสุดของเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้ ก็จัดการอริยะแท้พวกนี้ได้ง่ายดายไม่ใช่รึ
หากเช่นนี้แล้วยังเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอีก เขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ตายไปก็ไม่มีหน้าไปเกิดใหม่!
…..
เมื่อเห็นรอยแยกถูกปิด หวังเสินซวีหน้าซีดขาว มุมปากกระตุก
“เก้าส่วน! อายุขัยเก้าส่วนของแซ่หวังเชียวนะ! หายไปเช่นนี้รึ ต้องโทษพวกเจ้าสองคน ไม่รีบตัดสินใจ”
หวังเสินซวีปวดใจจนกระอักเลือด เขาตัดอายุขัยไปเก้าส่วนถึงจะเปิดเส้นทางหนีได้ ปรากฏว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย โดนเจ้าบ้าสองคนนี้ทำเสียเวลา!
เยวี่ยอวิ๋นเต๋อกับไป๋ตี้สีหน้าเต็มไปด้วยความเก้อเขิน
รู้อย่างนี้แต่แรกไม่น่าพูดมากขนาดนั้นเลย ไปเลยก็ดีแล้วไม่ใช่รึ
ตอนนี้ไม่มีใครได้ไปเลย
ถึงอย่างไรหวังเสินซวีก็ไม่มีทางตัดอายุขัยอีกเก้าส่วนเปิดมิติได้ สิ่งสำคัญคือเขาไม่มีอายุขัยมากขนาดนั้น ขืนตัดต่อไปก็คงตายคาที่
…..
เยวี่ยอวิ๋นเต๋อร้องโอดโอยไม่หยุด “จบสิ้นแล้วๆ ครั้งนี้ตายแน่!”
เขาใช้ไพ่ตายไปทั้งหมดแล้ว จะต่อต้านกองทัพวิญญาณร้ายได้อย่างไร จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายยังมีมหาอริยะสูงสุดอีกคน แบบนี้ใครจะไปสู้ไหวกัน!
“ในเมื่อหนีไม่ได้ก็สู้จนตัวตายแล้วกัน!”
ไป๋ตี้สูดลมหายใจเข้าลึก เปล่งแสงเทพสว่างพร่างพราวทั้งตัว ส่องสะท้อนฟ้าดิน
เขาพลันกลายเป็นเต่ายักษ์หมื่นจั้ง คำรามฟ้าดิน พลังเอ่อล้น สั่นสะเทือนภูลำธาร
ดวงตาใหญ่เหมือนดวงตะวันร้อนแรง จ้องกองทัพวิญญาณร้ายตาเขม็ง เต็มไปด้วยความห้าวหาญไม่ยี่หระต่อความตาย
ต่อให้ตาย เขาก็จะไม่ให้วิญญาณร้ายพวกนี้สบาย!
“ช่วยไม่ได้ สู้เถอะ!”
หวังเสินซวีถอนหายใจ เรื่องมาถึงตอนนี้ไม่มีทางแก้แล้ว จะให้นั่งรอความตาย สู้จนตัวตายยังดีกว่า!
ต่อให้ตายก็ต้องตายอย่างมีเกียรติ ตายในสนามรบ!
ดวงตาเขาลุกโชติช่วง ยืดหลังค่อมเหยียดตรง มองเสิ่นเทียน
“สหายเสิ่น ต้องขอโทษด้วยที่วันนี้ให้เจ้ามาเจอกับสถานการณ์อับจนเช่นนี้!”
หากไม่ใช่เพราะเขาฝืนฉีกมิติ เสิ่นเทียนคงไม่ปรากฏที่นี่
ดังนั้น หวังเสินซวีจึงคิดว่าตนทำร้ายเสิ่นเทียน เกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจ
เสิ่นเทียนส่ายหน้า ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้ออกมือมาร้อยกว่าปี วันนี้จะเอาวิญญาณร้ายพวกนี้มายืดเส้นยืดสายพอดี”
เขาขยับตัวเล็กน้อย
ทั้งตัวเขาพลันกลายเป็นแสงทองพุ่งใส่กองทัพวิญญาณร้าย
“สหายเสิ่น อย่า พวกเขามีมหาอริยะสูงสุด!”
หวังเสินซวีร้องเสียงดังด้วยความตกใจ แต่ก็ห้ามเสิ่นเทียนไม่ได้
เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาจากหน้าผากเขา ก่อนจะถอนหายใจ “เหตุใดสหายเสิ่นถึงบุ่มบ่ามเช่นนี้”
นั่นไม่ใช่พวกตัวกระจอกธรรมดา แต่เป็นกองทัพวิญญาณร้าย
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณร้ายจำนวนมาก รวมกับเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้มหาอริยะคนนี้ พวกเขาไม่มีทางสู้ได้เลย!
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นมหาอริยะเผ่ามนุษย์ก็สู้ไม่ได้ จะต้องนองเลือดที่นี่
แม้สหายเสิ่นจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทางเอาชนะเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้ได้
หวังเสินซวีรู้คร่าวๆ ว่ากำลังรบของเสิ่นเทียนแกร่งเพียงใด เมื่อร้อยปีก่อน เสิ่นเทียนก็สังหารเจ้าอริยะเจ็ดด่านเคราะห์ได้แล้ว
แต่นั่นเป็นเพียงเจ้าอริยะเจ็ดด่านเคราะห์เท่านั้น เป็นการคงอยู่ก้นฐานของเจ้าอริยะ
แต่เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้เป็นมหาอริยะสิบเอ็ดด่านเคราะห์ ฝ่าเคราะห์สวรรค์มากกว่าเจ้าอริยะเจ็ดด่านเคราะห์สี่ครั้ง
ระดับอริยะฝ่าหนึ่งเคราะห์เท่ากับหนึ่งชั้นฟ้า ศักยภาพระหว่างสิบเอ็ดด่านเคราะห์กับเจ็ดด่านเคราะห์มันคนละระดับพลังกันเลย
ถ้าสู้กันจริงๆ เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้แค่พลิกมือก็สังหารเจ้าอริยะเสียหั่วได้
…..
ต้องรู้ว่าตั้งแต่โบราณกาลมา คนที่สำเร็จเป็นผู้อริยะได้ล้วนเป็นโอรสสวรรค์ที่สุดแห่งยุค แต่การจะก้าวจากเจ้าอริยะไปมหาอริยะเหมือนกับเป็นร่องหุบเขาฟ้า ยากจะก้าวข้ามไปได้
นี่ไม่ใช่แค่อาศัยพรสวรรค์ แต่ยังต้องใช้เวลาตกตะกอน
มหาอริยะคนใดบ้างที่ไม่ใช่ยอดฝีมืออาวุโสที่ฝึกมาหลายพันปีกระทั่งหมื่นปี!
ต่อให้เสิ่นเทียนจะหายตัวไปปิดด่านบำเพ็ญร้อยแปดสิบปี ก็ไม่มีทางเหนือกว่ามหาอริยะได้กระมัง!
พอเห็นเสิ่นเทียนพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลแล้ว หวังเสินซวีก็เผยแววตากังวล
เขากัดฟันพูดอย่างจนใจ “มารดาเถอะ ตายก็ตาย แซ่หวังจะสู้ตายกับพวกเจ้าลูกวิญญาณร้าย! สหายเสิ่นรอข้าด้วย แซ่หวังจะไปกับเจ้า!”
เมื่อเอ่ยจบ หวังเสินซวีก็กระตุ้นพลังแห่งมิติ ตามหลังเสิ่นเทียนไปติดๆ จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา
ไป๋ตี้กับเยวี่ยอวิ๋นเต๋อมองหน้ากัน จากนั้นตะโกนเสียงดัง “ลุย!”
พวกเขาตามหลังไปติดๆ จะบุกทะลวงไปพร้อมกันสองคน!
…..
เจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้ทำหน้าเหยียดหยาม ยิ้มเยาะ “พวกไม่รู้จักเป็นตาย รนหาที่ตาย!”
เขาออกคำสั่ง กองทัพวิญญาณร้ายมากมายถาโถมออกมา ปิดล้อมสี่คน
พลังชั่วร้ายมหาศาลปะทุขึ้นในฉับพลัน โหมซัดสาดไม่ขาดสาย ปกคลุมฟ้าดิน บดบังฟ้าบังดวงตะวัน
พลังชั่วร้ายสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง มีร่างเงาน่ากลัวหลายร่างก้าวออกมาจากในนั้น กลิ่นอายพลังแข็งแกร่งเป็นที่สุด
วิญญาณร้ายระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์พุ่งออกมา ปิดล้อมที่นี่ไว้อย่างแน่นหนา
ในนั้นยังมีปะปนกลิ่นอายพลังแข็งแกร่ง น่าสะพรึงที่สุด
พวกนั้นคือผู้แข็งแกร่งวิญญาณร้ายที่เหนี่ยวนำมาถึงห้าดินแดนผ่านแท่นบวงสรวง ทุกคนน่ากลัวอย่างยิ่ง
แค่วิญญาณร้ายระดับอริยะก็มีหลายสิบตน และยังมีอริยะแท้สิบกว่าตนกับเจ้าอริยะอีกเจ็ดตน
พลังนี้ ต่อให้โจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ทำได้ง่ายดาย จึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังมีเจ้าผู้คุมกฎเจิ้นอวี้ที่น่ากลัวที่สุดคุมอยู่
เมื่อเห็นภาพนี้ พวกหวังเสินซวีสามคนหน้าเปลี่ยนสีไป
วิญญาณร้ายเยอะขนาดนี้ เหนือเกินกว่าขอบเขตที่พวกเขาจะรับไหวแล้ว หากโจมตีหมู่เข้ามา จะฉีกพวกเขาแหลกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในพริบตา
ทว่าเสิ่นเทียนกลับสีหน้าเรียบนิ่ง
เขาพุ่งขึ้นฟ้า เหมือนมังกรน้ำลงสมุทร พลันบุกเข้าไปในหมอกชั่วร้าย
ตรงหน้าเขาเป็นวิญญาณร้ายผู้สูงศักดิ์สวรรค์ยี่สิบกว่าตนกับวิญญาณร้ายระดับอริยะสิบตนพุ่งเข้ามา และยังมีอริยะแท้หลายตน สำแดงยอดวิชาสังหารของเผ่าวิญญาณร้ายจู่โจมใส่เสิ่นเทียน!
แววตาพวกเขาเหี้ยมโหด พลังชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เหมือนกับมารร้ายมาเยือน เข่นฆ่าชาวโลก
ในอากาศเต็มไปด้วยหมอกสีเทา กลิ่นอายมืดมิดและรุนแรง ทำให้คนใจสั่นไหว
“ตาย!”
พวกวิญญาณร้ายอริยะแท้ที่นำหน้ามาแผดเสียงร้อง เหมือนผีร้ายคำราม แสบแก้วหู
วิญญาณร้ายมากมายจู่โจมพร้อมกัน เคลื่อนกลิ่นอายชั่วร้ายน่ากลัว กลายเป็นมือผีชั่วร้ายคว้าเสิ่นเทียน
ทันใดนั้นท้องนภาถอดสี ตะวันจันทราเปล่งแสงสีดำ พลังชั่วร้ายไม่มีสิ้นสุดสั่นกระเพื่อมไม่แน่นอน ฉีกห้วงอากาศได้
ผู้แข็งแกร่งวิญญาณร้ายมากขนาดนี้ออกมือ กลิ่นอายพลังน่ากลัว เจ้าอริยะยังต้านไว้ไม่ไหว
…..
ข้าขอประกาศว่าพวกเจ้าถูกข้าล้อมไว้แล้ว!
เสิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายแสงสว่างแพรวพราว
เขาทำมุทรามือ ผิวกายเปล่งแสงเทพเหนี่ยวนำพลังแห่งดาราตกลงมา
แสงดาราไร้พรมแดนไหลรวมในอากาศ รวมเป็นกระบี่แห่งดาราขยับแสงวาววับ
กระบี่ทุกเล่มล้วนมีกลิ่นอายพลังน่าตกใจ เหมือนอาวุธเทพสูงสุด ทำลายล้างได้ทุกสิ่งอย่าง!
“อะไรกัน เหตุใดพลังนี่ถึงน่ากลัวขนาดนี้”
“เอาชนะกระบวนท่านี้ไม่ได้ หนีเร็ว!”
วิญญาณร้ายมากมายหน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
พวกเขารู้สึกได้ถึงความแกร่งของกระบี่แห่งดารากลางนภา สามารถสังหารพวกเขาได้ง่ายดาย!
พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่ามนุษย์คนเดียวจะระเบิดพลังได้น่ากลัวขนาดนี้
วิญญาณร้ายระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ถูกพลังกดดันจนจิตใจแตกสลาย ร่างกายอ่อนยวบ ไม่มีใจคิดต่อต้านอีก
อริยะแท้หวาดกลัว หนาวสั่น ตื่นกลัวอย่างยิ่ง
วิญญาณร้ายพวกนี้คิดเปลี่ยนทิศทางในทันที จะหนีออกไป ทว่าเสิ่นเทียนไม่ให้โอกาสพวกเขาเลย
เขาโบกมือกว้าง กระบี่แห่งดารามากมายถาโถมลงมา อานุภาพมหาศาลยากจะปัดป้อง
ผ่านไปที่ใด ห้วงอากาศพลันกลายเป็นรอยแยกมากมาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน