บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน นิยาย บท 467

บทที่ 467 แท่นวิหคทองแดง เวทีโอรสสวรรค์!

ขู่ตัวกับเฉินจงเทียนมองโอสถเสริมสวรรค์กลมแวววาวและส่งกลิ่นหอมเย้ายวนสองเม็ดในมือเสิ่นเทียน ในใจเกิดความตะกละอย่างยิ่ง

นี่คือโอสถเสริมสวรรค์ระดับจักรพรรดิ ประเมินค่าไม่ได้ เอาอาวุธเซียนมาก็แลกไม่ได้

ถึงอย่างไรโอสถเสริมสวรรค์เบิกฟ้าก็มีอยู่เจ้าเดียว มีเพียงเสิ่นเทียนที่มี คนอื่นหลอมไม่ได้เลย

แต่เนื่องด้วยเกียรติ ขู่ตัวกับเฉินจงเทียนยังกระดากอายที่จะรับไว้

……

เมื่อเห็นสองคนปฏิเสธ เสิ่นเทียนก็เผยรอยยิ้ม “สหายทั้งสองท่านไม่ต้องเกรงใจ! ตอนนี้มหาเคราะห์ภัยมาเยือน ศักยภาพของสหายทั้งสองเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่เพิ่มโอกาสรอด แต่ยังเป็นกำลังส่วนหนึ่งให้กับห้าดินแดน นี่เป็นน้ำใจของแซ่เสิ่น ทั้งสองท่านอย่าปฏิเสธเลย”

เสิ่นเทียนมอบโอสถเสริมสวรรค์เบิกฟ้าให้สองคนย่อมมีแผนการของเขา

แดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีเป็นมิตรกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มาตลอด เป็นพันธมิตรฉันพี่น้องกัน

อีกทั้งบุตรพุทธะขู่ตัวยังเป็นสหายกับฟางฉาง สนิทสนมกันมาก ประกอบกับแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีมีศักยภาพแฝงลึกล้ำ ผู้แข็งแกร่งเยอะ และเป็นขุมอำนาจใหญ่ที่อยู่สุดยอดในดินแดนบูรพาเช่นกัน

การมอบโอสถเสริมสวรรค์เบิกฟ้าให้ขู่ตัว จะยิ่งกระชับความสัมพันธ์ของสองขุมอำนาจใหญ่ขึ้นอย่างมาก

ตอนนี้เผชิญกับมหาเคราะห์ภัยห้าดินแดน สองขุมอำนาจก็ต้องกลมเกลียวกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

……

แม้ว่าระหว่างเสิ่นเทียนกับเฉินจงเทียนจะเคยขัดแย้งกัน แต่นั่นคือความขัดแย้งเล็กๆ เมื่อเยาว์วัย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

เขาเองก็ไม่ได้เสียเปรียบ แต่เป็นเฉินจงเทียนที่ซวยเลือดสาด อีกทั้ง เสิ่นเทียนยังได้มรดกส่วนแรกของคัมภีร์เทพโลหิต

พูดความจริงคือนี่ต้องขอบคุณเฉินจงเทียน

คัมภีร์เทพโลหิตเป็นมรดกสูงสุด มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกเซียน แฝงไว้ด้วยอานุภาพสูงสุด

หากไม่ใช่เพราะมีคัมภีร์เทพโลหิต ยามที่เสิ่นเทียนท่องโลกภายนอกก็ต้องระวังมากกว่าเดิม ระแวงต่ออันตรายตลอดเวลาเพื่อปกป้องชีวิตน้อยๆ

หากเป็นเช่นนั้น เขาคงเติบโตไม่รวดเร็วเท่าตอนนี้เลย

คัมภีร์เทพโลหิตช่วยเสิ่นเทียนไว้มาก!

ตอนนี้มอบโอสถเสริมสวรรค์เบิกฟ้าให้เฉินจงเทียนก็ถือว่าเป็นการชดเชยให้เขาแล้วกัน!

โอสถเสริมสวรรค์เบิกฟ้าของสิ่งนี้ แม้จะล้ำค่าในสายตาคนอื่นมาก แต่กลับไม่มีประโยชน์อะไรกับเสิ่นเทียนเลย

ของสิ่งนี้ใช้ได้เม็ดเดียว เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เอามาให้คนอื่นสร้างความรู้สึกดีดีกว่า

มิหนำซ้ำ เสิ่นเทียนยังมีโอสถเสริมสวรรค์อีกกองใหญ่ในกระเป๋า ไม่ขาดแคลนเลย

สู้เอามาผูกมิตรกับบุตรแห่งโชค สร้างความสัมพันธ์ ยกระดับศักยภาพของพวกเขาดีกว่า

ในช่วงที่มหาเคราะห์ภัยมาเยือนนี้ ย่อมมีสหายมากเท่าไรยิ่งดี ศักยภาพยิ่งแกร่งเท่าไรก็ยิ่งดี!

…..

เมื่อได้ฟังคำพูดของเสิ่นเทียน บุตรพุทธะขู่ตัวกับเฉินจงเทียนตัวสั่นสะท้าน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

บุตรพุทธะขู่ตัวประนมมือแสดงความเคารพเสิ่นเทียน “สหายเสิ่นมีจิตใจโอบอ้อมอารี อาตมานับถือ ในเมื่อเช่นนั้น อาตมาจะไม่เกรงใจแล้ว ขอบคุณสหายเสิ่นมาก”

หากเป็นของธรรมดา เขาคงไม่ใส่ใจขนาดนี้

พูดอย่างไรขู่ตัวก็เป็นเจ้าพุทธะมาหลายสิบปี มีประสบการณ์มากมาย

แต่โอสถเสริมสวรรค์เบิกฟ้าสิ่งนี้ล้ำค่ามากจริงๆ!

พูดตามตรง ขู่ตัวสนใจมาก เขาถอนหายใจอยู่ข้างใน

เดิมทีเขาอยากปฏิเสธ แต่ก็จนปัญญาเพราะของที่สหายเสิ่นให้ล้ำค่ายิ่งนัก!

อาตมา เอ่ยคำนี้ไม่ได้เลย!

เฉินจงเทียนกระบอกตาร้อนผ่าว ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล “สหายเสิ่น มีบุญคุณยิ่งใหญ่ไม่อาจกล่าว จากนี้หากมีอะไรให้แซ่เฉินช่วยก็บอกมาได้เลย ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ!”

เฉินจงเทียนเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจ ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง

หากเขาได้กินโอสถเสริมสวรรค์ ก็จะเติมเต็มพลังบำเพ็ญที่ล้าหลังไปในช่วงนั้นกลับมาได้ กระทั่งยังพัฒนาไปอีกขั้น ก้าวสู่ขบวนสุดยอดโอรสสวรรค์

ถึงอย่างไรโอสถเสริมสวรรค์เบิกฟ้าก็มีสรรพคุณยาสูงสุด

ไม่ใช่แค่ยกระดับศักยภาพได้ แต่ยังเปลี่ยนพรสวรรค์คุณสมบัติกายได้!

เฉินจงเทียนเป็นโอรสสวรรค์อันดับสี่ในรายนามแก่นพลังทองเดิม มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว หากกินโอสถเสริมสวรรค์ ศักยภาพเขาจะต้องพุ่งพรวดอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินจงเทียนสนใจคือความโอบอ้อมอารีและน้ำใจของเสิ่นเทียน

สหายเสิ่นไม่คิดแค้นเรื่องในอดีต มอบโอสถเสริมสวรรค์ให้ข้า

คุณธรรมสูงส่งเช่นนี้ แซ่เฉินละอายใจในตัวเองจริงๆ ไม่อาจเทียบได้เลย

…..

เสิ่นเทียนยิ้ม “รีบกินโอสถเสริมสวรรค์ก่อนเถอะ พวกข้าจะคุ้มกันให้พวกเจ้าเอง!”

ขู่ตัวกับเฉินจงเทียนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าแรงๆ

พวกเขารับโอสถเสริมสวรรค์มา รีบนั่งขัดสมาธิลง หลอมรวมสรรพคุณยา!

ทันใดนั้น ภายในกายสองคนยิงแสงเทพไม่มีสิ้นสุด หลากสีสัน แสงเรืองรองวนเวียน

ผิวกายขู่ตัวมีแสงทองวนเวียน เจตจำนงพุทธะศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ แสงสว่างส่องสะท้อนฟ้าดิน

ข้างหลังเขาปรากฏพระพุทธองค์กายทองหมื่นจั้งลอยขึ้นมา

กายพุทธะเปล่งแสงทองสว่าง กลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่ เหมือนจะกำราบจักรวาลท้องนภา

ภายใต้การเสริมด้วยโอสถเสริมสวรรค์เบิกฟ้า พระพุทธองค์กายทองเปล่งแสงสว่างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สว่างเหมือนดวงตะวันใหญ่ ส่องสว่างฟ้าดิน

พลังพุทธะสูงสุดที่น่าเกรงขามยิ่งแผ่ออกมา หมุนม้วนไปรอบๆ

ขู่ตัวในตอนนี้เหมือนยอดฝีมือฝ่ายพุทธสูงสุด

เจตจำนงพุทธะศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์โปรดทุกสรรพสัตว์ ชะล้างเงามืดชั่วร้ายทุกสิ่งในโลก

ครืน!

เมฆเคราะห์ภัยลอยขึ้นกลางนภา ประกายสายฟ้าสว่างวาบ ดังสนั่นหวั่นไหว

ขู่ตัวมาถึงขอบเขตการทะลวง จะฝ่าเคราะห์สวรรค์แล้ว

บึ้ม!

เขาพุ่งขึ้นฟ้า ทะลวงทะเลเมฆฟ้าเก้าชั้น ตัดสินสูงต่ำกับเคราะห์อัสนี

เมฆเคราะห์ภัยดำมืด แสงดำวูบวาบ ทำให้ฟ้าดินถอดสี ตะวันจันทราไร้แสงสว่าง

ทว่าแสงทองศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์กลับยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บดบังฟ้าบังดวงตะวัน กดแสงสีดำลงไป

ทุกคนเพ่งสายตามองก็เห็นพระพุทธองค์กายทองลอยอยู่กลางนภา ใช้พลังยิ่งใหญ่สูงสุดสั่นสะเทือนเคราะห์สวรรค์

เคราะห์สวรรค์มีอานุภาพน่ากลัว พลังน่าสะพรึง สังหารผู้อริยะได้ง่ายดาย

แต่ภายใต้การโจมตีของพระพุทธองค์กายทองนี้ กลับรับการโจมตีเดียวไม่ไหว

เขาโบกมือจบเคราะห์อัสนีไม่มีสิ้นสุดแตกกระจาย ฟ้าดินโคลงเคลง ห้วงอากาศพังลง

ขู่ตัวเหมือนกลายเป็นเทพเจ้าฝ่ายพุทธ ภูเขาไท่ซานถล่มตรงหน้ายังแน่นิ่ง ขณะยิ้มราบเรียบก็ฝ่าเคราะห์อัสนีไปสองขั้น

ไม่นานขู่ตัวลอยลงมา ยืนตรงหน้าทุกคน

แสงเทพวนเวียนรอบตัวเขา กายเนื้อใสแวววาว แสงทองวูบวาบ แฝงไว้ด้วยพลังเทพหาที่สิ้นสุดมิได้

กลิ่นอายพลังในกายถาโถมไม่ขาดสาย แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

ขู่ตัวในตอนนี้ทะลวงจากผู้อริยะสามด่านเคราะห์เป็นอริยะแท้ห้าด่านเคราะห์ พลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นอย่างมาก!

“อมิตาพุทธ ขอบคุณสหายเสิ่นมาก สมกับเป็นโอสถปรับแก้ดวงชะตาสูงสุด มีสรรพคุณแกร่งจริงๆ พระพุทธองค์ทรงมีเมตตา ขอให้ท่านพระพุทธองค์ปกปักรักษาสหายเสิ่นด้วย!”

ขู่ตัวสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนกับนักบวชชั้นสูง กำลังบรรยายธรรมะสูงสุด

แต่ไม่นานเขาก็เกร็งไม่ไหว ทลายปราการร้องเสียงดังขึ้น “อมิตาพุทธ อาตมาทนไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกฝืนใจเสแสร้งเช่นนี้ เป็นทุกข์จริงๆ เลย!”

ขู่ตัวเผยธาตุแท้ออกมา กลับมาเป็นมีนิสัยตรงไปตรงมาเหมือนเดิม

ทุกคนพูดไม่ออก

แต่ทุกคนก็ชินไปแล้ว ในโอรสสวรรค์ดินแดนบูรพาทุกคน คนที่เปลี่ยนไปน้อยที่สุดคือขู่ตัว

เจ้านี่ยังคงซื่อบื้อเหมือนเดิม

ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะเจ้าพุทธะเสียงอัสนีเอาไม้เท้าเคาะศีรษะขู่ตัว บังคับให้เขารับตำแหน่งเจ้าพุทธะ เจ้านี่คงหนีไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในที่ห่างไกลตั้งนานแล้ว

ที่ขู่ตัวเสแสร้งได้เคร่งขรึมจริงจังขนาดนั้น ก็เพราะถูกเจ้าพุทธะเสียงอัสนีบังคับ

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสหายทุกคน ในที่สุดเขาก็อดเผยธาตุแท้ออกมามิได้

“ตอนนี้อาตมาศักยภาพเพิ่มขึ้นมากแล้ว ไม่รู้ว่ามีสหายท่านใดยินดีจะประลองกับอาตมาหรือไม่”

ขู่ตัวเลิกคิ้วขึ้น มองไปรอบๆ จิตต่อสู้เอ่อล้น

เมื่อทะลวงพลังบำเพ็ญ หัวใจของขู่ตัวก็เริ่มพองโตขึ้น

ไม่ใช่แค่บรรลุอริยะแท้ห้าด่านเคราะห์ แต่ยังฝึกกายแห่งยอดวัชระพุทธะ

ตอนนี้ ระดับความแกร่งของกายเนื้อขู่ตัวแข็งแกร่งเหมือนทองคำเทพนอกฟ้า ต่อให้เป็นเจ้าอริยะเจ็ดด่านเคราะห์ก็ยากจะทำลายการป้องกันของเขาได้

หลังศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขู่ตัวก็เริ่มคันมือ อยากจะหาคนมาสู้ด้วย

เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนทำหน้าหมดคำจะพูด

ลาหัวล้านนี่เป็นเจ้าพุทธะแล้วยังนิสัยเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย!

…….

ตอนนี้เองเฉินจงเทียนเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ผิวกายเขาเปล่งแสงดาราวนเวียนหนาทึบ สีสันหลากสีแสบตา

แสงดารามากมายตัดสลับกัน รวมเป็นดาราสว่างจ้าหลายดวง แสงเรืองรองสว่างไปรอบๆ เปล่งแสงเทพไม่มีสิ้นสุด

ดวงดารามีทั้งหมดเจ็ดดวง แสงสว่างรายล้อม แสบตาถึงที่สุด

พวกมันเชื่อมต่อกันและกัน รวมเป็นเจ็ดดาวเหนือ พลังยิ่งใหญ่มหาศาล

ภายใต้ปรากฏการณ์เจ็ดดาวเหนือส่งเสริม เฉินจงเทียนเหมือนกับเทพดาราลงมาเยือน เอกลักษณ์เหนือสามัญ

อีกทั้งยังหลอมรวมฤทธิ์โอสถเสริมสวรรค์ไปเรื่อยๆ กลิ่นอายพลังเขาหนาแน่นขึ้น ถาโถมออกไปเหมือนคลื่นลูกใหญ่!

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าร้องดังสนั่น งูอัสนีวิ่งพล่าน

เคราะห์สวรรค์ของเฉินจงเทียนตามลงมา อานุภาพมหาศาลไร้พรมแดน

“สู้!”

เขาคำรามเสียงดัง ก่อนพุ่งขึ้นกลางเมฆเคราะห์ภัย สู้กับเคราะห์สวรรค์!

เปรี้ยงๆๆ!

เกิดเสียงดังสนั่นมาจากกลางท้องนภา เหนี่ยวนำฟ้าดินสั่นไหว ประกายสายฟ้าระเบิดกระจาย

ปรากฏการณ์เจ็ดดาวเหนือเปล่งแสงสว่างจ้า เหนี่ยวนำกฎเกณฑ์ไม่มีสิ้นสุด

เหมือนธารน้ำเงินตกมาหลายสาย ทะลวงเมฆเคราะห์ภัยดำมืด ทำให้ฟ้าดินเกิดแสงดาราไร้ที่สิ้นสุด

…..

กลุ่มคนเดินทางไปยังแท่นวิหคทองแดง ทุกคนเดินไปพลางหัวเราะไปพลาง สนทนาถึงเรื่องมหาศึกกับโอรสสวรรค์ดินแดนกลางที่นี่ในอดีต

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ตอนแรกพวกเราอยู่ที่นี่ สู้กับโอรสสวรรค์ดินแดนกลางหลายร้อย ทั้งยังเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนทั้งนั้น!”

“ฮ่าๆ พวกเรายังเป็นศิษย์ใหม่ แต่ก็ทุบตีศิษย์อาวุโสพวกนั้นจนฉี่ราดอุจจาระราด”

ขู่ตัวเล่าเรื่องในตอนนั้นให้ทุกคนรอบๆ ฟังด้วยใบหน้าตื่นเต้น

ตอนนี้เองหวังเสินซวีเกาศีรษะ “เจ้าโล้น เหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ! ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าขึ้นไปประลองรอบหนึ่ง ถูกทุบตีหัวโนเป็นลูกขึ้นมาเลย!”

หวังเสินซวีจำได้แม่นว่าในศึกกับโอรสสวรรค์ดินแดนกลางตอนนั้น ในรุ่นพวกเขา ขู่ตัวพ่ายแพ้ และยังแพ้ยับเยิน ขายหน้าป่นปี้หมด

หวังเสินซวีจ้องขู่ตัวด้วยความสงสัย พูดแขวะในใจใหญ่

ทำไม เรื่องน่าอายเช่นนี้ เจ้าลาหัวล้านนี่กลับเอามาคุยโม้ได้รึ

ขู่ตัวพูดไม่ออก

“แค่กๆ ประสกท่านนี้ อาตมาไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร! แต่เจ้าใส่ร้ายชื่อเสียงอาตมาเช่นนี้ คิดจะทำอะไรกัน เจ้าอยากประลองกับข้าอย่างนั้นรึ ข้าว่าเจ้าคงอยากประลองกับข้าแน่! ถ้าอย่างนั้น เราก็ไปประลองกันหน่อยเถอะ”

ขู่ตัวดวงตาแวววาว จ้องหวังเสินซวีพลางพูดพึมพำไม่หยุด

หวังเสินซวีมีเส้นดำขึ้นบนใบหน้า มองค้อนไปที

มารดาเถอะ ดีแต่ฉวยโอกาสตอนนี้รังแกแซ่หวัง

รอแซ่หวังฟื้นอายุขัยกลับมาสองสามร้อยปีก่อน ข้าจะสับลาหัวล้านอย่างเจ้าให้ตาย!

……

แน่นอน หวังเสินซวีไม่ได้เอ่ยออกมา

ถึงอย่างไรหากพูดออกมาก็ต้องถูกทุบตี

ด้วยสภาพเขาตอนนี้ เรียกได้ว่าสู้ใครไม่ได้เลย!

เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนก็ส่ายหน้ายิ้มๆ

คนอื่นเองก็กำลังคุยเรื่องในอดีต บรรยากาศกลมเกลียวกัน

ท่าทางพวกเขามีคุณธรรมน้ำมิตรของเด็กหนุ่มเล็กน้อย หวนรำลึกถึงเรื่องสำคัญในอดีต

เพียงแต่ผ่านไปร้อยแปดสิบปี เรื่องราวมากมายก็ยังเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว

บางคน บางเรื่องราวสูญหายไปในโลกนี้

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ทุกคนถอนหายใจ

เสิ่นเทียนกลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากขนาดนั้น เพราะเขาปิดด่านบำเพ็ญมาร้อยแปดสิบปี อีกทั้งในกระดานหมากฟ้าขุ่น เขายังอยู่ในสภาวะฟ้ามนุษย์รวมเป็นหนึ่ง ลืมสรรพสิ่งและตนเอง

กาลเวลาเหมือนลูกธนู ดั่งกระสวยทอผ้า

ร้อยแปดสิบปีสำหรับเขาเป็นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น พริบตาเดียวก็ผ่านไป

ดังนั้นตอนนี้เสิ่นเทียนจึงยังมีจิตใจของเด็กหนุ่ม ไม่ได้ปลงอนิจจังเหมือนทุกคน

“เอาละๆ พวกเราเข้าไปนั่งกันก่อนเถอะ วันนี้เราจะดื่มสุราคุยกัน ฉลองที่ศิษย์น้องกลับมาอย่างปลอดภัย”

ฟางฉางเสนอ เตรียมจะเข้าไปในหอหงส์ทอง

…..

ตึงๆๆ!

ตอนนี้เองมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังแว่วมา

เสียงดังอึกทึก และยังมีเสียงวิชาดังสนั่นฟ้าดิน

“เกิดอะไรขึ้น”

ทุกคนแปลกใจ เพ่งสายตามองไป พบว่าใต้หอแท่นวิหคทองมีเวทีประลองยักษ์หนึ่งลอยขึ้นมา

เวทีประลองเต็มไปด้วยอักขระ กฎเกณฑ์วนเวียน แผ่พลังแก่กล้า

นี่สร้างโดยผู้แข็งแกร่งสุดยอด ต่ำกว่าระดับอริยะไม่มีใครทำลายได้

และบนเวทีประลองมีโอรสสวรรค์รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งกำลังประลองฝีมือกัน เสียงดังเมื่อครู่ก็คือเสียงโอรสสวรรค์ประลองกันบนเวที

เมื่อเห็นภาพนี้ เสิ่นเทียนก็ยิ้ม “ในแท่นวิหคทองมีเวทีประลองกี่ที่กัน”

ตอนที่พวกเขามาร้อยปีก่อน ยังไม่มีของพวกนี้เลย!

ฉีเซ่าเสวียนยิ้มราบเรียบ “สหายเสิ่น ตอนนั้นเรากับโอรสสวรรค์ดินแดนกลางสู้กัน สุดท้ายเป็นสหายกัน ได้กลายเป็นเรื่องราวน่าสรรเสริญไปทั้งจี้เซี่ยแล้ว

ต่อมาสือหลิงกับสือขุยรวมถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่นต่างเสนอให้สร้างเวทีโอรสสวรรค์ขึ้นในแท่นวิหคทอง ทุกครั้งที่สำนักศึกษาหลวงจี้เซี่ยรับศิษย์ใหม่ก็จะส่งเสริมให้เหล่าโอรสสวรรค์ประลองกระชับมิตรกัน โอรสสวรรค์พวกนั้นข้างล่างนั่นก็เป็นศิษย์ใหม่ในรุ่นนี้”

เสิ่นเทียนมีสีหน้าตกใจ “สำนักศึกษาหลวงจี้เซี่ยรับศิษย์ใหม่ทุกร้อยปีไม่ใช่รึ คำนวณตามเวลาแล้วน่าจะยังอีกยี่สิบปีสิ!”

จางอวิ๋นถิงอธิบาย “หลังจากกองทัพวิญญาณร้ายต่างแดนรุกรานเข้ามา การรับศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาหลวงจี้เซี่ยก็เปลี่ยนจากร้อยปีเป็นสามสิบปี

รวมถึงจำกัดการรับศิษย์ของทุกแดนศักดิ์สิทธิ์ยังสั้นลง เพื่อบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งให้เร็วที่สุด จะได้ต่อต้านกับวิญญาณร้ายต่างแดน ดังนั้น โอรสสวรรค์รุ่นนี้จึงเติบโตเร็วมาก เหนือกว่าในอดีต”

จางอวิ๋นถิงส่ายหน้าพลางยิ้มแห้งๆ ปลงอนิจจังในใจอย่างยิ่ง

….

ยังดีที่พวกเราฝึกบำเพ็ญค่อนข้างเร็ว ทั้งยังได้โอสถเสริมสวรรค์ของศิษย์น้องช่วย

หากช้าไปหลายรุ่น บางทีพวกเขาอาจจะไม่มีที่ยืน

เด็กสมัยนี้บ้ากันยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เลย!

…………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน