บทที่ 483 เกาะเทพลอยฟ้า ตราเทพเกราะมังกร!
เมื่อเห็นสองตระกูลทะเลาะกันไม่หยุด จูเก่อซือหม่าก็ทำหน้าปวดไข่ แต่ก็ยังตรงเข้าไปโน้มน้าว
“อย่าทะเลาะกัน ทุกคนอย่าทะเลาะกัน
น้ารอง อารอง เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าด่าแม่กันเลย!
แล้วก็ท่านบรรพบุรุษทั้งสอง ทุกคนรักษาภาพลักษณ์หน่อย”
จูเก่อซือหม่าเริ่มไกล่เกลี่ยอย่างยากลำบาก อยากจะให้บรรยากาศเบาลง
ทว่าก็ไม่เป็นผลมากนัก
จูเก่อหยวนกับซือหม่าเฉิงสองคนทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงทะเลาะกันอย่างหนัก
เสียงด่าทอพวกเขาเหมือนฟ้าร้อง ดังสนั่นไปทั้งเรือเหาะ
สองคนนี้ต่างพูดว่าพลังเขตแดนของตระกูลตนร้ายกาจที่สุด อยากจะตัดสินแพ้ชนะกันด้วยฝีปาก
เมื่อเห็นภาพนี้ จูเก่อซือหม่ามุมปากกระตุกเล็กน้อย พึมพำในใจ
ท่านบรรพบุรุษเด็กจริงๆ คนอายุหมื่นปีไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เลยสักนิด
หากคนนอกเห็นเข้าจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกตายรึ
…….
ในด้านการวิวาทนี้ ซือหม่าเฉิงดูจะสู้จูเก่อหยวนไม่ได้เล็กน้อย เขาโมโหจนหน้าแดงก่ำ เคราขาวกระดกขึ้น
ซือหม้าเฉิงถูกดดันจนร้อนใจ เป่าเคราถลึงตาโต “จูเก่อหยวนเจ้าสุดยอด ทั้งตระกูลเจ้าเก่งกันหมด เก่งจริงก็อย่ามาให้พวกข้าช่วยสิ เจ้าเปิดเขตแดนเกาะดาราเบิกฟ้าเองแล้วกัน!”
ซือหม่าเฉิงดวงตาแดงก่ำ โกรธขึ้นสมองแล้ว
เพราะที่นี่มียอดค่ายกลเบิกฟ้าอยู่ คนธรรมดาไม่อาจทำลายได้เลย มิหนำซ้ำที่นี่ยังมีไอเบิกฟ้าที่ทุกคนหวาดกลัว ด้วยกำลังของตระกูลจูเก่อ การจะเข้าไปในทะเลดาราเบิกฟ้าคนเดียวเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นพวกเขาถึงต้องร่วมมือกับตระกูลซือหม่าเพื่อสำรวจ แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาต้องหลงทางอยู่รอบนอกเดือนหนึ่ง
สองตระกูลจ่ายไปอย่างมหาศาล เสียทรัพยากรไปจำนวนมากถึงเข้ามายังส่วนลึกได้
เทียบกับแผนการที่พวกเขาคาดการณ์ไว้แล้ว เสียหายกว่าที่คาดไว้เยอะมาก ดังนั้นสองตระกูลจึงเริ่มโยนความผิดกันไปมา
แต่วัดกันที่ความสามารถในการโบ้ยแล้ว จูเก่อหยวนเป็นยอดฝีมือ
เขาด่าซือหม่าเฉิงจนโต้ตอบไม่ได้ อยู่เหนือกว่า
ซือหม่าเฉิงเองก็เป็นคนมีเกียรติ ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จึงคิดจะเลิกภารกิจ
ทว่าจูเก่อหยวนไม่ติดกับเขา ทำเสียงขึ้นจมูก “ไปเองก็ไปเองสิ ใครเขากลัวเจ้ากัน”
เขาไม่กลัวซือหม่าเฉิงเลิกภารกิจ ทุกคนล้วนเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน บอกว่าจะไม่ทำก็ไม่ทำได้รึ
…..
ภาพนี้ทำให้จูเก่อซือหม่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สองตระกูลร่วมแรงร่วมใจกันยังเหนื่อยขนาดนี้ เกือบจะหลงทาง
ตอนนี้เกิดขัดแย้งกันอีก แยกทางตัวใครตัวมัน เดาว่าทุกคนคงต้องตายกันหมด
จูเก่อซือหม่าจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านบรรพบุรุษทั้งสอง พวกเรารีบหาเกาะเทพลอยฟ้ากันเถอะ! ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ด้วยพลังงานสำรองของเราตอนนี้อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
ตอนนี้พวกเขาเข้ามายังส่วนลึกทะเลดาราเบิกฟ้า มีอันตรายมากกว่าเมื่อก่อน
เรือเหาะถูกคลื่นพลังถาโถมใส่ คลื่นทะเลจู่โจม พลังอำนาจมาไม่ขาดสาย
ไอเบิกฟ้าน่ากลัวถึงที่สุด เหมือนคลื่นลูกใหญ่โจมตีเข้ามา
ทุกครั้งจะกระแทกเรือเหาะสั่นสะเทือนอย่างแรง แสงเทพระเบิดกระจาย
ยอดค่ายกลเขตแดนที่สร้างขึ้นจากยอดอาวุธสองชิ้นยืนหยัดได้อีกไม่นานแล้ว มีเพียงเติมพลังงานถึงจะพอคงค่ายกลไว้ได้
หากทุกคนไม่รีบทำเวลา เมื่อพลังงานหมด เช่นนั้นจะต้องตายแน่
เมื่อได้ฟังคำพูดของจูเก่อซือหม่า จูเก่อหยวนกับซือหม่าเฉิงทำหน้าอึ้งไป ก่อนจะตั้งสติกลับมาได้
พวกเขามาที่นี่ไม่ได้มาทะเลาะกัน แต่มีอีกเป้าหมาย
สองตระกูลขุนนางลำบากเตรียมการมาหลายพันปีเพื่อการเดินทางทะเลดาราเบิกฟ้าครั้งนี้ หากเสียแผนเพราะความขัดแย้งเล็กน้อย จะไม่ขาดทุนเลือดสาดรึ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซือหม่าเฉิงก็ใจเย็นลงก่อน “ข้าไม่ทะเลาะกับเจ้าแล้ว ต้องหาเกาะเทพลอยฟ้าก่อน”
จูเก่อหยวนแบะปาก “เจ้าคิดว่าข้าอยากทะเลาะกับเจ้ารึ เปลืองน้ำลายเปล่าๆ”
พวกเขาเองก็รู้ว่าเรื่องใดหนักเบา จึงละวางความขัดแย้งลงก่อน
“เอาละๆ พวกเจ้าก็อย่าทะเลาะกันเลย คุมเรือเหาะให้ดี ตามหาเกาะเทพลอยฟ้า!”
สองบรรพบุรุษใจเย็นลง ต่างก้าวออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์
เมื่อเห็นบรรพบุรุษไม่ปะทะฝีปากกันแล้ว รุ่นเยาว์ของสองตระกูลขุนนางย่อมไม่ทะเลาะกันต่อ
ทุกคนกลับไปประจำตำแหน่งงานของตน ใครคุมค่ายกลก็คุมไป ใครคุมเรือก็คุมไป
พอเห็นดังนั้น ในที่สุดจูเก่อซือหม่าก็ถอนหายใจโล่งอก
….
สองตระกูลขุนนางคุมเรือเหาะเดินหน้าต่อไป
แต่ทันใดนั้นเองมีคนร้องตกใจ “นั่น…นั่นอะไร”
ทุกคนเพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าเขตทะเลตรงหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ
คลื่นทะเลจู่โจมเข้ามา ทะเลเมฆไหลเชี่ยว เหมือนกวนฟ้าดินพลิกกลับ
ศิษย์สองตระกูลขุนนางใหญ่ตกใจตับแทบแตก ร้องด้วยความเศร้า “ไม่นะ เจอหายนะอะไรกัน!”
หากเป็นเขตปกติ พวกเขาคงไม่กังวลเลย
แต่ที่นี่คือทะเลดาราเบิกฟ้า รอบกายปกคลุมด้วยไอเบิกฟ้า หากเกิดหายนะขึ้นในตอนนี้ อานุภาพจะน่ากลัวสุดขีด ยากจะต่อต้านได้
“ไม่ใช่ ตรงนั้นมีคน!”
มีคนตาดีเห็นว่ากลางไอเบิกฟ้าไร้ที่สิ้นสุดมีเงาคนร่างหนึ่งกำลังทะยาน
ร่างเงานี้ดูองอาจห้าวหาญ พลังโหมซัดสาด
เขาเหมือนกับเซียนที่สุดแห่งยุค เมินเฉยต่อไอเบิกฟ้าที่ทุกคนหวาดกลัว!
แค่โบกมือก็สลายไอเบิกฟ้าไปมากมาย ทำให้ฟ้าดินแยกออกเป็นเส้นทางใหญ่
ศิษย์สองตระกูลขุนนางตัวสั่นอย่างรุนแรง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ไม่อยากเชื่อว่าโลกนี้มีการคงอยู่น่ากลัวเช่นนี้อยู่
คนนี้เป็นใครกันแน่
จูเก่อหยวนกับซือหม่าเฉิงมีใบหน้าตื่นกลัวเช่นกัน รู้สึกเย็นๆ ที่แผ่นหลัง
พวกเขาเป็นยอดฝีมืออาวุโสที่อยู่มาหมื่นปี มีความรู้กว้างขวาง
แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครกล้าเดินทางในส่วนลึกทะเลดาราเบิกฟ้า ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเตรียมเซียนก็ไม่มีทางไม่เกรงกลัวเช่นนี้ได้!
จูเก่อหยวนพูดเสียงสั่น “หรือว่าเราจะเจอกับสิ่งมีชีวิตอัปมงคลใดเข้า”
เขตทะเลเบิกฟ้าลึกลับอย่างยิ่ง ไม่มีใครเข้าใจว่าในนี้มีอะไรกันแน่ เมื่อก่อนก็มีคนเข้ามาในส่วนลึก สุดท้ายถูกลบจิตสำนึก กลายเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กในทะเลดาราเบิกฟ้า
แต่มีสิ่งมีชีวิตเล็กใดกันที่ระเบิดพลังอำนาจน่ากลัวเช่นนี้ได้
ซือหม่าเฉิงพูดด้วยแววตาตกใจ “หรือว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดในอดีตถูกกัดกิน และยังเหลือพลังตอนมีชีวิตอยู่”
มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะอธิบายได้ว่าเหตุใดร่างเงานี้ถึงไม่กลัวไอเบิกฟ้า
ยิ่งคิดยิ่งน่ากลัว ยิ่งคิดยิ่งน่าตกใจจริงๆ
ทุกคนพลันรู้สึกขนหัวลุก จิตใจหนาวสั่น
ความเป็นไปได้ด้านบนนี้ ไม่ว่าจะแบบใดก็จะเบาใจไม่ได้เลย
ด้วยพลังของพวกเขาตอนนี้ เกรงว่าคงไม่มีทางต้านสิ่งมีชีวิตน่ากลัวนี้ได้แน่
“รีบเปิดค่ายกลป้องกัน”
ซือหม่าเฉิงรีบตะโกน สั่งให้ศิษย์เปิดค่ายกล
ไม่นานนัก เรือเหาะปรากฏม่านแสงหลากสีขึ้น แผ่พลังมหาศาลยากจะคาดเดา
อักขระเขตแดนแปลกต่างๆ ลอยขึ้น วนเวียนตัดสลับกัน ทำให้ยอดค่ายกลเปล่งแสงเทพไม่มีสิ้นสุด
ยอดค่ายกลเขตแดนมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม แสงเรืองรองส่องสว่าง แผ่อำนาจคุกคามแก่กล้า
นี่คือยอดค่ายกลเขตแดนที่สองตระกูลขุนนางร่วมมือกันวาง แข็งแกร่งยิ่ง ต้านการโจมตีของเตรียมเซียนได้
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจคุกคามที่แผ่มาจากร่างเงานี้กลับเทียบไม่ได้เลย
ทุกคนสีหน้าจริงจัง เหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ
…….
ทว่าตอนนี้เอง ในที่สุดร่างเงานั้นก็เข้ามาใกล้
คนนี้มีรูปร่างยิ่งใหญ่ เหมือนต้นส้นเขียวสูงตรง ตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน
ทั่วร่างมีหมอกหนาวนเวียน แสงเรืองรองส่องสว่าง ถูกไอเบิกฟ้าไร้พรมแดนปกคลุม
เขายืนในอากาศเหมือนหลอมรวมกับฟ้าดินเป็นหนึ่ง กลิ่นอายพลังลึกล้ำไม่อาจคาดเดา
คนจากสองตระกูลใหญ่ตัวสั่นอย่างรุนแรง จิตใจหนาวสั่นอย่างยิ่ง
กลิ่นอายพลังนี้น่ากลัวไปแล้ว เหมือนจะทำให้ทุกสรรพสัตว์ในฟ้าดินยอมศิโรราบ
แม้แต่บรรพบุรุษตระกูลขุนนางทั้งสองตอนนี้ยังมีใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ หวาดกลัว
ซือหม่าเฉิงเดินหนึ่งก้าว พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่รู้ว่าสหายท่านนี้ เหตุใดถึงขวางทางพวกข้ากัน”
แม้ทุกคนจะคาดเดาว่าร่างเงานี้เป็นสิ่งมีชีวิตอัปมงคล ไม่มีสติปัญญากล่าวได้ แต่พวกเขาก็ยังกอดความหวังไว้ หยั่งเชิงถามสถานการณ์
ไม่สู้ได้ก็จะพยายามไม่สู้
คนนี้น่ากลัวเกินไป พวกเขาไม่มีโอกาสจะชนะเลย
ทว่ากลับมีเสียงกังวานดังมาจากในไอเบิกฟ้าขมุกขมัว “พวกเจ้า คือคนจากตระกูลจูเก่อกับซือหม่ารึ”
เมื่อได้ยินการตอบรับดังมาจากไอเบิกฟ้า คนจากสองตระกูลขุนนางพลันโล่งอก
ในเมื่อคนนี้ตอบ ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอัปมงคลสูญเสียสติ
กล่าวได้ว่าแก้วิกฤติไปได้ชั่วคราวแล้ว
แต่จากนั้นทุกคนก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจ ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ในเมื่อไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอัปมงคล เช่นนั้นเป็นใครกัน
เหตุใดถึงเมินต่อไอเบิกฟ้า พุ่งทะยานในทะเลดาราเบิกฟ้าได้ตามใจ หรือว่านี่จะเป็นผู้แข็งแกร่งสุดยอดลึกลับ
แต่ว่าไม่เคยได้ยินว่ามีสำนักเต๋าใดปรากฏการณ์คงอยู่เช่นนี้มาก่อน
พลังบำเพ็ญของผู้อาวุโสท่านนี้ยังประเมินไม่ได้อีก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน