บทที่ 488 ความลับของราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง!
ภายใต้สายตาชื่นชมของทุกคน เสิ่นเทียนกับจูเก่อซือหม่าถูกพลังแก่กล้ากระชากออกไป
สองคนรู้สึกถึงแสงสว่างตรงหน้า มีความรู้สึกเวียนศีรษะพุ่งเข้ามาในความคิด
จนเมื่อสายตากลับมาชัดเจนก็มาอยู่ในตำหนักโบราณยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
ตำหนักโบราณโอ่อ่ายิ่งใหญ่ มีความสูงหลายหมื่นจั้ง
ตั้งอยู่กลางฟ้าดิน ยิ่งใหญ่ไร้พรมแดนเหมือนขุนเขาเทพบรรพกาล
ประตูใหญ่สีเหลืองทึบตั้งอยู่หน้าตำหนักโบราณ เปล่งแสงสว่างพร่างพราว หนักถึงหมื่นชั่ง
บนประตูใหญ่ยังห้อยป้ายทองแดงอันหนึ่ง ด้านบนแกะสลักสี่อักษะใหญ่ ‘ตำหนักสวรรค์เกราะมังกร’
ตัวอักษรทรงพลัง ฉวัดเฉวียน แฝงไว้ด้วยพลังยิ่งใหญ่!
เมื่อเห็นภาพนี้ จูเก่อซือหม่าจิตใจสั่นไหวเล็กน้อย
ตำหนักโบราณนี่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่กับเขาเกินไป เหมือนโลกหนึ่งมากกว่า ยิ่งใหญ่ไม่อาจคาดเดา!
จูเก่อซือหม่าพูดด้วยความตื่นเต้น “นี่คือสถานบำเพ็ญของผู้แข็งแกร่งสุดยอดคนนั้นรึ”
จากมรดกส่วนหนึ่งของตราเทพเกราะมังกร จูเก่อซือหม่าจึงรู้ถึงความแกร่งของเจ้าของที่นี่
บรรพบุรุษรุ่นแรกของเขาตระหนักได้เพียงผิวเผินยังสร้างตระกูลขุนนางค่ายกลที่สุดยอดที่สุดในห้าดินแดนได้
ผู้ที่สร้างวิชาลี้ลับเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่นอน
…..
ตอนนี้เองห้วงอากาศไหลหลาก
ถ้ำแสงลอยขึ้นมาในฟ้าดิน กฎเกณฑ์เวียนวน ร่างเงาหนึ่งก้าวออกมา
คนนี้ก็คือชายชราชุดคลุมเทาคนนั้นก่อนหน้านี้
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ยินดีกับสหายน้อยทั้งสองที่ผ่านการทดสอบแรก ที่นี่ คือแดนมรดกของราชาเซียนเกราะมังกร!”
จูเก่อซือหม่าตัวสั่นไหวเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววตื่นตกใจ
ที่แท้ผู้แข็งแกร่งที่นี่ก็คงอยู่ระดับราชาเซียน มิน่าถึงน่ากลัวขนาดนี้
ขณะเดียวกันจูเก่อซือหม่ายังอดตื่นเต้นขึ้นมามิได้
มรดกของราชาเซียนเกราะมังกรประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน
จูเก่อซือหม่าพูดด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสคือราชาเซียนเกราะมังกรรึ”
ชายชราชุดคลุมเทามีกลิ่นอายพลังลึกล้ำคาดเดาไม่ได้ เป็นการคงอยู่สุดยอด
เขาส่ายหน้าช้าๆ “ข้าเป็นเพียงคนเฝ้าสุสานเท่านั้น”
จูเก่อซือหม่าตัวสั่นไหวเบาๆ “คนเฝ้าสุสานรึ ผู้อาวุโส หรือว่า…”
คนเฝ้าสุสานพยักหน้า “ไม่ผิด นี่คือสุสานของราชาเซียนเกราะมังกร! ราชาเซียนเกราะมังกรสิ้นชีพในยุคบรรพกาลเมื่อหลายแสนปีก่อน ไม่เหลือเสี้ยววิญญาณแล้ว หน้าที่ของข้าคือตามหาผู้สืบทอดของราชาเซียนเกราะมังกร รวมถึงปกป้องสุสานนี้!”
จูเก่อซือหม่าเกิดความเศร้าขึ้นในใจนิดๆ รู้สึกเสียใจอย่างน่าประหลาด
เขาเคยฝึกตราเทพเกราะมังกรมาส่วนหนึ่ง จึงเต็มไปด้วยความเคารพต่อผู้แข็งแกร่งที่สร้างวิชานี้
จูเก่อซือหม่าคิดทุกวิถีทาง อยากจะเห็นท่วงท่าสง่างามที่สุดแห่งยุคของผู้สูงส่งค่ายกลเช่นนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าราชาเซียนหนึ่งยุคจะสิ้นชีพลงที่นี่ เหลือเพียงคนเฝ้าสุสาน
นี่น่าวังเวงเพียงใดกัน
……
“เหตุใดราชาเซียนเกราะมังกรถึงสิ้นชีพกัน”
จูเก่อซือหม่าไม่เข้าใจ ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนมีพลังเชื่อมฟ้า
ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิ คงอยู่ได้เป็นหมื่นปี จะไปสิ้นชีพลงง่ายๆ ได้อย่างไร!
คนเฝ้าสุสานดวงตาตกลงเล็กน้อย “สิ้นชีพใจมหาสงครามต่างแดนเมื่อหลายแสนปีก่อน ราชาเซียนเกราะมังกรวางยอดค่ายกลสวรรค์ในสนามรบเขตรกร้าง ต้านราชาเซียนวิญญาณร้ายสามตน
สุดท้ายผู้แข็งแกร่งสูงสุดเผ่าวิญญาณร้ายออกมือ ทำลายยอดค่ายกลลง ตอนนั้นฟ้าดินร่ำไห้ ทะเลโลหิตพลิกกลับ ราชาเซียนปลุกธงสามพันผืน ฝืนลากราชาเซียนวิญญาณร้ายตนหนึ่งสิ้นชีพไปด้วยกัน”
มีเพียงวิญญาณร้ายต่างแดนเท่านั้นที่คุกคามถึงผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียน
ทำให้ราชาเซียนสูงสุดต้องสิ้นชีพลง
จูเก่อซือหม่ากับเสิ่นเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง
“วิญญาณร้ายต่างแดนอีกแล้ว!”
จูเก่อซือหม่าพูดด้วยความแค้นเคือง กัดฟันด้วยความโกรธ
เมื่อได้ฟังคำพูดของคนเฝ้าสุสาน พวกเขาเหมือนนึกถึงสงครามบรรพกาลนั้น
ฟ้าดินถูกสังหารจนแดงโลหิต มืดครึ้มไร้ดวงตะวัน
ราชาเซียนที่สุดแห่งยุคใช้เศษธงห่อร่าง สาบานว่าตายก็ต้องลากวิญญาณร้ายไปด้วย
ปรากฏว่าผู้แข็งแกร่งราชาเซียนหนึ่งยุคสิ้นชีพลงที่สนามรบเขตรกร้าง!
นี่น่าวังเวงเพียงใดกัน น่าเศร้าเพียงใดกัน ทำให้คนเศร้าสลดเสียใจ
จิตใจของสองคนพลันหนักอึ้งขึ้นมา
ผ่านไปหลายแสนปี วิญญาณร้ายต่างแดนบุกเข้ามาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าสงครามนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร
จะต้องมีอีกกี่คนที่สิ้นชีพในมหาเคราะห์ภัยครั้งนี้
……
คนเฝ้าสุสานไม่ได้พูดต่อ แต่เปลี่ยนเรื่อง
“ตอนราชาเซียนเกราะมังกรยังมีชีวิต ได้ฝากมรดกไว้ก่อนแล้ว แม้พวกเจ้าจะผ่านการทดสอบแรก แต่ถ้าคิดจะเป็นผู้สืบทอดมรดกของราชาเซียนเกราะมังกร ยังต้องผ่านประตูใหญ่นี้ก่อน!”
คนเฝ้าสุสานโบกมือกว้าง ประตูตำหนักสวรรค์เกราะมังกรเปิดออก
ทันใดนั้นคลื่นพลังกฎเกณฑ์วนเวียน ปล่อยอานุภาพเทพมหาศาลออกมา
เมื่อสัมผัสดูดีๆ ตรงหน้าวางยอดค่ายกลสูงสุดไว้ มีพลังทรงอานุภาพอย่างยิ่ง
คนเฝ้าสุสานเอ่ยขึ้น “ตอนแรกมีเจ้าหนูที่มีพรสวรรค์ใช้ได้สองคนเคยเข้ามาในโลกนี้ แต่น่าเสียดาย พวกเขาไม่ผ่านการทดสอบสุดท้าย”
จูเก่อซือหม่าเพ่งสายตาเล็กน้อย เขารู้ว่าคนที่คนเฝ้าสุสานพูดถึงคือบรรพบุรุษรุ่นแรกทั้งสองของเขา
บรรพบุรุษรุ่นแรกทั้งสองเคยตระหนักความหมายลี้ลับสองยอดค่ายกลยันต์แปดทิศกับปัญจธาตุ ย่อมเข้ามาที่นี่ได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกขวางไว้นอกประตู
นี่เป็นปณิธานก่อนตายของพวกเขา เสียดายในหมื่นปี
…..
พอนึกถึงตรงนี้ จูเก่อซือหม่าก็พูดงึมงำ “ความเสียดายของบรรพบุรุษ ให้ข้าทำมันให้สำเร็จเถอะ!
พี่ใหญ่เสิ่น ข้าจะเข้าไปลองก่อน!”
จูเก่อซือหม่าขันอาสาก่อนเดินไปทางประตูใหญ่
แสงเทพไม่มีสิ้นสุดวนเวียนออกมา ปกคลุมเขาไว้ทั้งหมด
จูเก่อซือหม่าพลันชะงักอยู่ที่เดิม
เขาหลับตาปิดสนิท ตัวสั่นไหวอย่างรุนแรง ใบหน้ามีความเหี้ยมเกรียมขึ้นมา
เหมือนเจอเรื่องน่ากลัวบางอย่าง ทำให้จิตวิญญาณเขาสั่นกลัว
เสิ่นเทียนเพ่งสายตามองเล็กน้อย ด้วยความชำนาญด้านค่ายกลของจูเก่อซือหม่า ตอนนี้ยังดูแย่ขนาดนี้ ดูท่าที่นี่คงมีแต่ความไม่ธรรมดา
แต่ที่นี่ไม่มีพลังเทพน่ากลัว นั่นหมายความว่าค่ายกลนี้ไม่มีกำลังจู่โจม
นี่เหมือนค่ายกลที่ไว้ทดสอบจิตใจมากกว่า
เสิ่นเทียนเดินหน้าไปในค่ายกล ทว่าหลังเขาเข้าไปกลับไม่มีการโต้ตอบใดๆ เลย
เสิ่นเทียนเข้าไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค เดินออกจากค่ายกล
ตอนนี้เสิ่นเทียนมีแววตางุนงง ไม่เข้าใจ
เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดค่ายกลนี่ถึงไม่มีผลกับข้า
หรือว่าค่ายกลเสียหายตรงไหน มีปัญหารึ
คนเฝ้าสุสานตัวสั่น ก่อนพูดพึมพำ “ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคุณสมบัติกายนั้น…คำพยากรณ์ในตอนนั้นเป็นความจริงรึ”
คนเฝ้าสุสานไม่ได้พูดมาก แต่จ้องเสิ่นเทียน ดวงตาลึกล้ำอย่างยิ่ง
……
ครู่ต่อมา ในที่สุดจูเก่อซือหม่าก็ตื่นขึ้น
เขาเหงื่อชุ่มไปทั้งตัวเหมือนรีดน้ำออก กลิ่นอายพลังอ่อนแรงอย่างมาก
แต่เขาฝืนลากขาหนักอึ้งเดินออกจากค่ายกลนี้
“ในที่สุด…ข้าก็ทำได้แล้ว!”
จูเก่อซือหม่าพูดอย่างอ่อนแรง แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“พี่ใหญ่เสิ่น ท่านก็สำเร็จเหมือนกัน!”
จูเก่อซือหม่าไม่ได้ตกใจ แต่ดีใจ
ในมุมมองเขา ด้วยพรสวรรค์ของเสิ่นเทียนต้องผ่านค่ายกลนี้ได้อย่างง่ายดาย
คนเฝ้าสุสานเดินเข้ามา ก้าวข้ามค่ายกลนี้มาเลย
ดวงตาเปล่งประกายแสงขึ้นเรื่อยๆ มองจูเก่อซือหม่า “ไม่เลว ไม่เลวเลย ค่ายกลนี้คือค่ายกลมายาใจสวรรค์เบิกฟ้า ใช้ปราณเบิกฟ้าสร้างเป็นแดนมายาขึ้น
ซึ่งจะได้พบความน่าสะพรึงในใจที่นี่ หากเอาชนะความกลัวไม่ได้ก็จะหลงทางในนั้น กระทั่งธาตุไฟเข้าแทรก ด้วยอายุอย่างเจ้าเดินมาถึงก้าวนี้ได้ เยี่ยมมากแล้ว!”
คนเฝ้าสุสานมองจูเก่อซือหม่า ค่อนข้างพอใจ
จากนั้นเขามองเสิ่นเทียน “เจ้าฝึกเคล็ดคบเพลิงเบิกฟ้า มองข้ามปราณเบิกฟ้าได้ ค่ายกลนี้ย่อมไม่มีประโยชน์กับเจ้า!”
เสิ่นเทียนพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง มิน่าเขาเพิ่งเข้ามาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายที่ใกล้ชิดมาก
ที่แท้พลังนั้นก็มาจากปราณเบิกฟ้า
แต่ขณะเดียวกันเสิ่นเทียนยังแอบตกใจ
คนนี้ เหตุใดถึงรู้ว่าเขาฝึกเคล็ดคบเพลิงเบิกฟ้าล่ะ
อาศัยแค่จุดที่มีภูมิต้านปราณเบิกฟ้าก็คาดเดาวิชาเขาออกแล้วรึ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน