บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน นิยาย บท 492

บทที่ 492 เคราะห์ภัยเทพมารสามพัน พลังของตราราชันมนุษย์!

วงรัศมีดวงชะตาที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเสิ่นเสี่ยวเปล่งแสงสว่างพร่างพราว

แสงเทพเบิกฟ้าวนเวียนไม่หยุด เหมือนตะวันจันทราและดารา สว่างจ้าสุดขีด

จากภาพที่ลอยจากวงรัศมีดวงชะตาของเสิ่นเสี่ยว

เสิ่นเทียนได้รู้ว่าแดนกำเนิดโชคลิขิตอยู่ตรงหน้าผาสูงไม่ไกล

ในโชคลิขิตเดิม เสิ่นเสี่ยวถูกเผ่าวิญญาณร้ายล่าสังหาร หนีออกไปสิบกว่าลี้จนถึงหน้าผาสูง

สุดท้ายเสิ่นเสี่ยวไม่มีทางหนีต้องโดดหน้าผา

เดิมทีด้วยอายุและศักยภาพของเสิ่นเสี่ยว หนีไปไม่ได้ไกลขนาดนั้น

แต่เผ่าวิญญาณร้ายไม่ได้สังหารนางทันที แต่จะเย้าหยอก ทำให้นางตายด้วยความหวาดกลัว

แต่เสิ่นเสี่ยวกลับโชคดีไม่ตาย ทั้งยังได้มหาโชคลิขิต

ส่วนวิญญาณร้ายพวกนั้นเพราะไปแตะต้องสิ่งต้องห้ามในโชคลิขิตนั้นจึงกลายเป็นเถ้าถ่าน

อืม คนชั่วก็ต้องตาย!

…..

เมื่อมั่นใจในเป้าหมายแล้ว เสิ่นเทียนก็มองเสิ่นเสี่ยว “เสี่ยวเสี่ยว ไปกันเถอะ! ถึงเวลาไปจากที่นี่แล้ว!”

จะชักช้าไม่ได้ จะต้องช่วยเสิ่นเสี่ยวได้โชคลิขิต ยกระดับศักยภาพให้เร็วที่สุด

เสิ่นเทียนอยากจะดูว่าตอนนี้สถานการณ์ห้าดินแดนเป็นอย่างไรบ้าง

เสิ่นเสี่ยวพยักหน้า “เจ้าค่ะ อาจารย์!”

นางหันไปมองหมู่บ้านที่เติบโตมาแต่เล็ก นัยน์ตามีความเศร้า

ญาติพี่น้องและความทรงจำในอดีตสุดท้ายฝังอยู่ที่นี่ จะไม่ให้นางเสียใจได้อย่างไร

เสิ่นเทียนสะบัดแขนเสื้อเบาๆ แผ่พลังแห่งเขตแดนมหาศาลออกมา

ทันใดนั้นฟ้าดินสั่นไหว แสงเทพตกลงมา

แสงดาราไร้พรมแดนสาดส่อง เหมือนธารดาราตกกระทบ ปกคลุมฟ้าดิน

มิติโดยรอบสั่นไหว ปกคลุมทั้งหมู่บ้าน ซ่อนในห้วงอากาศลับๆ

นี่เหมือนกับสุสานแห่งหนึ่ง ตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้ผู้วายชนม์พักผ่อนอย่างสงบ

เสิ่นเทียนหมุนตัวจากไป เอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ!”

เสิ่นเสี่ยวพยักหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “อืม!”

สองคนจากไปพร้อมกัน มุ่งหน้าไปทิศใต้

….

ไม่นานนัก สองคนก็มาถึงหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง

ที่นี่เป็นร่องหุบเขาเต็มไปหมด มีแต่หินประหลาดตั้งสลอน สูงชันอย่างยิ่ง

แม้ที่นี่จะเป็นหน้าผา แต่ก็ไม่ธรรมดายิ่ง ไม่เห็นถึงความพิเศษใดๆ เลย

ผู้บำเพ็ญระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ไปถึงส่วนก้นของหน้าผาได้ง่ายดาย

เสิ่นเทียนพูดด้วยความสงสัย “อาจารย์ เหตุใดพวกเราถึงมาที่นี่”

เสิ่นเทียนยิ้มราบเรียบ แสร้งทำทีลึกลับ “เดี๋ยวก็รู้เอง!”

ไม่นานนัก เสิ่นเทียนก็มาถึงส่วนกลางภูเขาของหน้าผาสูง ตรงนั้นมีถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง

ในโชคลิขิตเดิม เสิ่นเสี่ยวโดดลงหน้าผาแล้วก็ลงตรงถ้ำภูเขาพอดี พอจะเอาชีวิตรอดไปได้

เสิ่นเทียนลากเสิ่นเสี่ยวเข้าถ้ำภูเขา ก่อนเดินลึกเข้าไปช้าๆ

ถ้ำภูเขากว้างโล่งมาก ไม่เหมือนมีสมบัติเลย

เสิ่นเทียนไม่สนใจ เขาคลำไปบนผนังหิน ไม่นานก็พบผนังหินนูนขึ้นมา กดไปเบาๆ หินภูเขาพลันสั่นไหว ผนังหินเปิดออก

แสงเทพสว่างจ้าพุ่งออกมา สีสันหลากสียิ่ง สว่างไปรอบๆ

ผนังหินปรากฏแสงสว่างลอยขึ้นมา กลิ่นอายพลังในนั้นยิ่งใหญ่ แฝงไว้ด้วยฟ้าดินแห่งหนึ่ง

เมื่อเห็นภาพนี้ เสิ่นเทียนพยักหน้าเล็กน้อย

เพราะที่นี่ธรรมดามาก เลยทำให้คนไม่อยากสำรวจ ไม่อย่างนั้นตำนานอาจจะถูกคนชิงเอาไปนานแล้ว

……

เสิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะลากเสิ่นเสี่ยวเข้าถ้ำแสง

แสงสว่างวาบ ลากร่างเงาพวกเขาออกไป

จนเมื่อสองคนปรากฏตัวก็มาอยู่ในมิติอีกแห่งหนึ่ง

ที่นี่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มองไปไม่เห็นสุดเขตแดน

ฟ้าดินถูกหมอกขมุกขมัวปกคลุม ลี้ลับยิ่ง เหมือนแดนกำเนิดฟ้าแรกเริ่ม และตรงใจกลางโลกนี้มีตำหนักยักษ์ลอยอยู่แห่งหนึ่ง

ตำหนักเปล่งแสงทองวาววับ โอ่อ่ายิ่งใหญ่

มันตั้งอยู่กลางฟ้าดิน แผ่อำนาจคุกคามแก่กล้า เหมือนจะทำให้ฟ้าดินยอมสยบ

“อาจารย์ นี่มันที่ใด”

เสิ่นเสี่ยวเผยแววตามีสง่าราศี เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

นางไม่นึกเลยว่าที่นี่จะซ่อนตำหนักยิ่งใหญ่เช่นนี้ไว้

น่าลึกลับยิ่งนัก

เสิ่นเทียนยิ้มราบเรียบ “ตำหนักจักรพรรดิอริยะ!”

บนประตูใหญ่ของตำหนักแกะสลักสามอักษรใหญ่คำว่าตำหนักจักรพรรดิอริยะไว้

อักษะดั่งมังกรน้ำ มังกรทะยานหงส์เริงระบำ น่าเกรงขามยิ่ง

เมื่อสัมผัสดูดีๆ จะพบได้ว่าอักษรพวกนี้เป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดวาดไว้ มีอานุภาพมหาศาลไม่อาจคาดเดา

ความตกตะลึงในแววตาเสิ่นเสี่ยวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางไม่เคยเจอกับภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน

“เสี่ยวเสี่ยว พวกเราเข้าไปกันเถอะ!”

เสิ่นเทียนเอ่ยเตือน ก่อนพาเสิ่นเสี่ยวเข้าไป

ตอนนี้เองประตูใหญ่เปิดออกช้าๆ เผยเส้นทางใหญ่เชื่อมฟ้า

เสิ่นเทียนก้าวเข้าไปในตำหนักอย่างไม่ลังเลใดๆ เลย

……

ตอนที่สองคนเข้าตำหนัก ฟ้าดินเปลี่ยนไป แสงดารามากมายวนเวียนออกมา

มีร่างเงาหนึ่งก้าวออกมาจากในห้วงอากาศ

ร่างเขายิ่งใหญ่ ค้ำฟ้าค้ำดิน กลิ่นอายพลังมากมายมหาศาล

ตัวสวมเกราะนักรบสีทอง ลำแสงไหลเวียนไปรอบๆ แผ่พลังน่ากลัวออกมา

บนตัวเขายังมีพลังที่บ้าอำนาจเป็นหนึ่งลุกลามไปในฟ้าดิน

กลิ่นอายพลังนี้โอ่อ่ายิ่งใหญ่ มีบุคลิกห้าวหาญที่มีข้าเป็นใหญ่ในโลกหล้า!

คนนี้ยืนในอากาศ เหมือนราชันที่สุดแห่งยุคปกครองมหาโลก ทำให้หมื่นเผ่าพันธุ์ยอมศิโรราบ

…..

เสิ่นเทียนเพ่งสายตามองเล็กน้อย จิตใจสั่นสะท้าน

คนนี้มีกลิ่นอายพลังน่าสะพรึง แกร่งเกินกว่าทุกคนที่เขาเคยพบมา

เพียงแต่เสิ่นเทียนรู้สึกว่าคนนี้เป็นเสี้ยววิญญาณ อ่อนแออย่างยิ่ง จะหายไปได้ทุกเมื่อ

แม้จะเป็นเช่นนั้น พลังที่เขาแผ่ออกมาก็ยังชำเลืองตามองท้องนภา มองทุกสรรพสัตว์อย่างโอหัง

คนนี้คือการคงอยู่สูงสุด!

…….

ตอนนี้เองร่างเงานั้นมองมา ดวงตาลึกล้ำ

ดวงตานั้นน่าตกใจยิ่งนัก เหมือนมีจักรวาลไร้ขอบเขตไหลเวียน มากมายมหาศาลไร้ขอบเขต

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม คำพูดดังสนั่นฟ้า สะเทือนจิตใจคน

“ข้าคือราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง…ซุ่ย! พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ก็เป็นผู้มีวาสนา รับมรดกของข้าได้ หวังว่าพวกเจ้าจะทำให้มรดกของข้ายิ่งใหญ่ขึ้น ช่วยเผ่ามนุษย์ให้รอดจากหายนะ เอาชนะวิญญาณร้าย”

เมื่อเอ่ยจบ ร่างเงาก็ยกมือขึ้น ชี้นิ้วไปทางอากาศ

ทันใดนั้นท้องนภาเปลี่ยนไป

แสงสว่างสองสายหมุนม้วน พุ่งเข้าไปในความคิดพวกเสิ่นเทียนสองคน

เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อย ร่างเงาราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งก็หายไป ดับสลายไปในฟ้าดิน

เสิ่นเทียนเห็นดังนั้น นัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความเคารพ

ตำหนักจักรพรรดิอริยะแห่งนี้ น่าจะเป็นสถานฝึกบำเพ็ญในตอนแรกของราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งซุ่ย!

เพียงแต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งแค่ฝากมรดกไว้ ไม่นับว่าเป็นเสี้ยววิญญาณด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรตอนนั้นซุ่ยก็สู้กับจักรพรรดิเซียนวิญญาณร้ายสามตน เดิมทีก็ยากจนไม่อาจจินตนาการได้แล้ว

แม้ราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งจะฝืนลากจักรพรรดิเซียนวิญญาณร้ายสามตนตายไปพร้อมกัน แต่ตัวเขาก็ดับสลายไปในโลกนี้

ที่นี่น่าจะเป็นเขาที่เตรียมการไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เผ่ามนุษย์สูญพันธุ์ไปง่ายๆ

……

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความเคารพในแววตาเสิ่นเทียนชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

นี่คือผู้แข็งแกร่งที่ควรค่าแก่การเคารพ มีความโอบอ้อมอารีปกป้องชาวโลก

แม้ตัวตายก็ยังห่วงความปลอดภัยของโลกนี้

เสิ่นเทียนป้องมือไปทางความว่างเปล่า “ผู้อาวุโสราชันมนุษย์ พวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ขอสาบานว่าจะปกป้องห้าดินแดนจนตัวตาย ต่อต้านวิญญาณร้าย!”

นี่คือความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง และเป็นการเคารพต่อบรรพชนรุ่นก่อน

เสิ่นเสี่ยวข้างกายจ้องเสิ่นเทียน ดวงตาสั่นไหวเบาๆ

นางกำหมัดเล็กแน่น ร่างผอมเล็กระเบิดแรงปณิธานอันแรงกล้าออกมา

เป้าหมายของอาจารย์ ก็คือเป้าหมายของข้าเหมือนกัน

ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องปกป้องอาจารย์

ปกป้องโลกนี้!

…….

เวลาผ่านไปทีละนาที

แสงเทพที่เข้าไปในความคิดสองคนค่อยๆ ถูกหลอมรวม

นั่นคือเนื้อหาที่ซับซ้อนมาก ยิ่งใหญ่ถึงที่สุด แม้แต่พลังบำเพ็ญของเสิ่นเทียนยังไม่อาจดูดซับได้ทันที

พลังนี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง เกี่ยวพันไปถึงมหามรรคฟ้าดิน ลี้ลับอย่างยิ่ง

เสิ่นเทียนรู้ว่ามรดกนี้คือคัมภีร์บรรพชนคบเพลิง

ในมือเขาก็มีคัมภีร์บรรพชนคบเพลิงเช่นกัน ได้มาจากตำหนักราชันมนุษย์

เสิ่นเทียนยังไม่ได้ตระหนักรู้อย่างถ่องแท้ ยังไม่ได้เข้าใจมันมาก

ตอนนี้ ราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งถ่ายทอดให้ด้วยตนเอง จึงล้ำค่ายิ่งกว่าคัมภีร์โบราณ

ในมรดกไม่ใช่แค่มีวิชามรดกคัมภีร์บรรพชนคบเพลิง แต่ยังมีความเข้าใจในราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง

ด้วยมรดกของราชันมนุษย์ ทำให้เสิ่นเทียนประหยัดเวลาการฝึกฝนไปได้หลายปีเลย

…..

เสิ่นเสี่ยวด้านข้างเข้าสู่ความเงียบ

ราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งถ่ายทอดให้ด้วยตนเอง เนื้อหาเข้าใจยากพวกนี้จึงง่ายขึ้น

แม้แต่เสิ่นเสี่ยวยังตระหนักรู้ได้เรื่อยๆ

กลิ่นอายพลังนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แกร่งขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยวไม่มีปัญหาอะไร เสิ่นเทียนจึงหลับตาฝึกฝนเช่นกัน ไม่นานนักเขาก็ตระหนักความลี้ลับในนั้น เหมือนทะเลดาราจักรวาล ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต

เขาอยู่ในทะเลแดนมรรค รับการชะล้างมหามรรค สภาพจิตใจเกิดการผลัดเปลี่ยนอย่างน่าประหลาด

ถึงอย่างไรคัมภีร์บรรพชนคบเพลิงก็เป็นมรดกดั้งเดิม มีความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด

คัมภีร์คบเพลิงต่างๆ ที่เสิ่นเทียนฝึกฝนเป็นเพียงส่วนแตกแขนงของคัมภีร์บรรพชนคบเพลิง แฝงไว้ด้วยความลี้ลับส่วนหนึ่ง

ตอนนี้ได้ความเข้าใจแท้จริงของคัมภีร์บรรพชนคบเพลิง เสิ่นเทียนจึงได้ตระหนักรู้อีกครั้งทันที

……

สามวันต่อมา

เสิ่นเทียนลืมตาขึ้น กลิ่นอายพลังในกายยิ่งใหญ่

แสงเทพหลากสีวนเวียนรอบกาย แผ่พลังลึกลับยากจะคาดเดาออกมา

หลังผ่านการตระหนักรู้ในช่วงเวลานี้ เขาก็ได้อะไรไปมากมาย

ตอนนี้เสิ่นเทียนตระหนักเจตจำนงมรรคจากในคัมภีร์บรรพชนคบเพลิงได้เก้าส่วนแล้ว และยังมีส่วนหนึ่งที่เข้าใจยากเกินไป ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในตอนนี้

แต่เขามั่นใจว่าอีกไม่นานจะเข้าใจได้ทั้งหมด

สายฟ้าดังสนั่นกึกก้องท้องนภา

เคราะห์อัสนีลึกล้ำยิ่งขึ้น ขยับแสงวูบวาบที่สุด ทำให้คนจิตใจสั่นไหว

ในเมฆเคราะห์ภัย ร่างเงาสามพันคนทรงอานุภาพ เหนี่ยวนำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน

ร่างเงาพวกนี้ ทุกร่างทำให้ผู้อริยะหนาวสั่น

ร่างเงาสามพันร่างรวมกันเหมือนจะทำลายล้างหนึ่งโลกแห่งนี้

…….

“สู้!”

เสียงคำรามทลายท้องนภา!

เสิ่นเทียนมีท่วงท่าสง่างามที่สุด เหยียบห้วงอากาศ พุ่งตรงไปหาเมฆเคราะห์ภัยก่อน

เหมือนได้รับผลจากเสิ่นเทียน เมฆเคราะห์ภัยจึงบ้าคลั่งยิ่งขึ้น

บึ้ม!

สายฟ้าเคราะห์ภัยมากมายตกลงมา เปล่งแสงเทพสว่างจ้า สั่นทำลายนภาหมื่นลี้

พริบตานั้น ท้องนภาถูกประกายสายฟ้ามากมายปกคลุม บดบังฟ้าบังดวงตะวัน มืดครึ้มไร้แสงสว่าง

ประกายสายฟ้าสว่างวาบ สว่างจ้าแสบตา แผ่พลังอำนาจน่าสะพรึงกลัว

เคราะห์อัสนีพวกนั้นแปลงเป็นเทพมารสามพัน เงยหน้าคำราม ทำให้ท้องนภาสั่นไหว

พวกมันมีใบหน้าเหี้ยมโหด ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยแสงเคราะห์ภัยน่ากลัว ระหว่างโบกมือยังสั่นทำลายห้วงอากาศหมื่นจั้ง

เทพมารสามพันเคลื่อนออกมาพร้อมกัน คำรามลั่นจักรวาล พลิกกลับฟ้าดิน

ท้องนภาพลันสะท้อนเป็นฝนโลหิตมากมาย เสียงภูตผีร่ำไห้เทพร้องโหยหวน ทำให้ทุกสรรพสิ่งดับสลาย

พลังนี้บ้าคลั่งอย่างยิ่ง สังหารเตรียมเซียนได้ง่ายดาย

เสิ่นเทียนหน้าไม่เปลี่ยนสีไป เขาก้าวเดินไปข้างหน้า

เขาเคลื่อนปราณเบิกฟ้าไม่มีสิ้นสุด มาพร้อมพลังยิ่งใหญ่สูงสุด สู้กับเทพมารสามพันตนอย่างดุเดือด

ทันใดนั้น ท้องนภาเปลี่ยนไป ฟ้าดินสั่นสะเทือน

กลิ่นอายพลังเสิ่นเทียนโหมซัดสาด ประกบสองมือสำแดงทักษะยุทธ์สูงสุด

เขาถือกระบี่ดาราเบิกฟ้าทำการสู้กับเทพมารสามพันอย่างดุเดือดที่สุด อาบเลือดต่อสู้กัน

ทุกการโจมตีจะสั่นสะเทือนเคราะห์สวรรค์เทพมารหลายตนสลายไป กระจายเป็นแสงเคราะห์ภัยมากมาย

ท้องนภาพลันถูกตีแตก

แสงเทพสว่างปกคลุมฟ้าดิน ปกคลุมโลกนี้ไว้ทั้งหมด

คลื่นพลังน่ากลัวหมุนม้วนฟ้าดิน ทำให้โลกแห่งนี้สั่นไหวอย่างรุนแรง

ที่นี่เกิดมหาศึกที่น่ากลัวยิ่งขึ้น เหมือนจะทำลายล้างทุกอย่าง

อานุภาพของเคราะห์เทพมารสามพันน่ากลัวสุดขีด กลืนกินผู้แข็งแกร่งระดับเตรียมเซียนได้ง่ายดาย

โดยเฉพาะเทพมารสามพันเคลื่อนมาพร้อมกัน แม้แต่เซียนแท้ยังเลือดอาบ

แต่พวกมันโจมตีโดนเสิ่นเทียน เพียงแค่ทำให้เขาตัวสั่นไหวเบาๆ ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสจากรากกำเนิด

กายเนื้อเสิ่นเทียนมีแสงเทพวนเวียน แฝงพลังเทพน่าสะพรึงไว้

ท่วงทำนองเทพไหลเวียน เหมือนมีพลังงานไร้ที่สิ้นสุด

ภายใต้การเสริมด้วยพลังนี้ เขายิ่งสู้ยิ่งกล้าหาญ สังหารจนฟ้าดินหนาวสั่น เทพมารสูญสิ้น

เพียงชั่วครู่เดียว เคราะห์เทพมารสามพันถูกเสิ่นเทียนฉีกทำลายทั้งหมด แม้แต่เมฆเคราะห์ภัยบนฟ้ายังถูกตีแตกสลายไป

เสิ่นเทียนเหยียบฟ้าดิน ทั่วร่างอาบแสงเคราะห์ภัยน่ากลัว กลิ่นอายพลังมหาศาลยากจะปัดป้องได้

เขาในตอนนี้เหมือนเทพสงครามที่สุดแห่งยุค มีท่วงท่าสง่างามเป็นหนึ่ง

ยามนี้ ฝ่าเคราะห์เทพมารสามพันแล้ว

พลังบำเพ็ญศาสตร์หลอมกายเทพมารของเสิ่นเทียนทะลวงถึงระดับอริยะสำเร็จ ศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก

…..

เหมือนนึกอะไรได้ เสิ่นเทียนจึงนำกระจกออกมาอีกครั้ง

เห็นวงรัศมีดวงชะตาของเขายังมีเป็นสีม่วงเข้มสว่างจ้า

ครั้งนี้เสิ่นเทียนเหมือนไม่ได้ดวงชะตาลดลงเพราะทะลวงพลัง

ซี้ด~

นี่…ไม่ถูกต้องแล้ว

เสิ่นเทียนเผยแววตาตกใจระคนสงสัย พึมพำกับตัวเอง “คำสาปของคัมภีร์คบเพลิงหายไปแล้วรึ นี่ไม่สมเหตุผลเลย เกิดเรื่องแปลกขึ้นจะต้องมีอะไรแน่ๆ”

เสิ่นเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ระแวงขึ้นมา

การฝึกคัมภีร์คบเพลิง เมื่อทะลวงพลังดวงชะตาจะลดลง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กัน

ผ่านมายาวนานแสนปี ยังไม่เคยเกิดข้อยกเว้น

ตอนนี้เขาทะลวงเคราะห์เกิดดับ ดวงชะตากลับไม่ลดลง นี่มันน่าเหลือเชื่อ

หรือว่าจะเป็นเพราะตราราชันมนุษย์

เสิ่นเทียนรู้สึกว่าตราราชันมนุษย์ในมือกำลังแผ่พลังยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ คุ้มกันไว้รอบกาย

พลังคำสาปที่เกิดจากตอนทะลวงพลังแทรกซึมเข้ามาไม่ได้เลย

ดังนั้นการทะลวงพลังครั้งนี้ ดวงชะตาของเสิ่นเทียนจึงไม่ลดลง

…..

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนดีใจใหญ่

ไม่นึกเลยว่าตราราชันมนุษย์จะมีประสิทธิผลเช่นนี้ สุดยอด!

มีสมบัติสุดยอดเช่นนี้อยู่ จากนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องดวงชะตาลดลงแล้ว!

นี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง!

เมื่ออุปสรรคเรื่องดวงชะตาหายไป เขาก็จะไม่ต้องกดพลังบำเพ็ญไว้อีก

ถ้าเช่นนั้น เสิ่นเทียนมั่นใจว่าจะไล่ตามยอดฝีมืออาวุโสพวกนั้นทันในเวลาที่สั้นที่สุด

ช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ ยิ่งพลังบำเพ็ญสูงเท่าไรก็ยิ่งแก้สถานการณ์รบได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น!

เขาจะพลิกฟ้าผงาดขึ้น!

……………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน