บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน นิยาย บท 73

บทที่ 73 เคล็ดวิชาหลอมกายคบเพลิงกับจักรพรรดิอัสนี!
‘การป้องกันแกร่งมาก การโจมตีของลุงกุ้ยทำอะไรมันไม่ได้เลย’ เสิ่นเทียนเผยอมุมปากเล็กน้อย ภายในใจเข้าใจการป้องกันของเกราะเต่าดำคร่าวๆ แล้ว

แม้พลังบำเพ็ญของลุงกุ้ยในตอนนี้จะแค่จุดสูงสุดหลอมปราณขั้นเจ็ด แต่เขาฝึกฝนวิชาคัมภีร์มารสู่สุริยัน พลังโจมตีย่อมไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งขั้นเก้าส่วนใหญ่เลย

เกราะเต่าดำต้านลุงกุ้ยได้สบายๆ นี่เรียกได้ว่าสุดยอดเกราะช่วงหลอมปราณ!

พลังป้องกันแข็งแกร่งสุดยอด ทั้งยังมาพร้อมกับคุณสมบัติอัสนีสะท้อนกลับอันทรงพลัง ถ้าใช้เกราะเต่าดำคลุมทั่วร่างละก็ นั่นคือเกราะสะท้อนในแบบฉบับโลกเซียนเลย!

จากนี้สวมเกราะเต่าดำออกไป ยังมีใครในขอบเขตพลังเดียวกันที่กล้าทำร้ายข้าได้อีก

ข้ายืนอยู่นี่ หากเจ้าทำอะไรข้าได้ถือว่าเจ้าชนะ!

ลำพังแค่แรงสะท้อนกลับของข้ามันก็ผ่าเจ้าตายแล้ว!

…….

รอเดี๋ยว!

เสิ่นเทียนมองโล่ที่แทบจะเหมือนกระดองเต่าทุกอย่างบนแขนขวาพลันรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา เจ้านี่รวมเป็นชุดเกราะคลุมตัวแล้ว นั่นจะไม่กลายเป็นผู้เฒ่าเต่าเลยหรือ?

แบกกระดองเต่าไว้บนหลังมันน่าเกลียดเกินไปกระมัง!

ช่างเถอะๆ ช่างมันดีกว่า!

เสิ่นเทียนรู้สึกเหนื่อยใจมาก คนอื่นเขายิ่งฝึกฝนกำลังสูงเท่าไร ภาพลักษณ์ก็ยิ่งดูสูง

ตนได้วิชาอัสนีมหัศจรรย์แบบนี้มา เหตุใดถึงได้ไปเปรียบกับเต่า

กุ้ยกงกงเห็นเสิ่นเทียนทำหน้าไม่พอใจจึงถาม “ฝ่าบาทฝึกฝนวิชาเซียนแกร่งขนาดนี้สำเร็จแล้ว เหตุใดถึงดูกลุ้มใจล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

เสิ่นเทียนตอบอย่างจนปัญญา “ถึงวิชานี้จะมีการป้องกันแกร่งมาก แต่มันน่าเกลียดเกินไป”

พอได้ฟังคำตอบเสิ่นเทียนแล้ว กุ้ยกงกงถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที

ผู้ฝึกบำเพ็ญทั่วไปต่างแย่งชิงวิชาเซียนที่สุดแห่งยุคหนึ่งวิชายังฆ่าแกงกันจนตายไปข้าง แต่ฝ่าบาทนี่สิ ไม่กี่ชั่วยามก็ฝึกวิชาเซียนเลิศล้ำสำเร็จ แต่กลับรังเกียจรูปร่างมัน

กุ้ยกงกงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงอย่ากังวลไม่เลย ทุกวิชาล้วนมีรากฐานมาจากการเคลื่อนพลังวิญญาณ ถ้าฝ่าบาทคิดว่าไม่ชอบหน้าตาเกราะเต่าดำนี่ก็ลองเปลี่ยนดูก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

…….

อึก มีเหตุผลนะ!

คำพูดของกุ้ยกงกงทำให้เสิ่นเทียนเข้าใจแจ่มแจ้ง ก่อนหน้านี้ศึกษาอัสนีเทพธาตุน้ำลำดับเก้าตลอดจนตันแล้ว ทุกวิชาในฟ้าดินสร้างโดยผู้บำเพ็ญอาวุโสไม่ใช่หรือ ข้าเข้าใจวิธีการสำแดงเกราะเต่าดำแล้วก็ปรับแก้มันหน่อยก็จบแล้วนี่

พูดแล้วก็ทำเลย เสิ่นเทียนมองศิลาวิญญาณที่ยังสูบกินไม่หมดใต้ก้น ก่อนหลับตาลงเล็กน้อย เริ่มใคร่ครวญว่าจะออกแบบรูปทรงเกราะเท่าทมิฬใหม่อย่างไร

สีดำ ต้องเท่ๆ และโหด อีกทั้งพลังป้องกันจะต่ำเกินไปไม่ได้

เสิ่นเทียนเปลี่ยนแบบในความคิดไม่หยุด จู่ๆ ก็ปิ๊งขึ้นมา “ได้แล้ว!”

……….

เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเริ่มประสานมุทราตามวิธีของเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรม

ปกติ เวลาผู้บำเพ็ญสำแดงวิชาเล็กๆ จะไม่ต้องประสานมุทรา เพราะตอนที่เจ้าประสานมุทรา คนอื่นจะเริ่มจู่โจมก่อนแล้ว แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าการประสานมุทราจะไม่มีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญเลย

การประสานมุทราทำให้ผู้บำเพ็ญใช้พลังวิญญาณของตัวเองขับเคลื่อนพลังวิญญาณในฟ้าดินและสำแดงพลานุภาพที่แกร่งยิ่งกว่าได้

ต่อไปเสิ่นเทียนจะปรับแก้เกราะเต่าดำก็ต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก จะอาศัยแค่พลังวิญญาณที่เก็บไว้ในร่างกายอย่างเดียวย่อมไม่พออย่างแน่นอน

ดังนั้นเขาต้องประสานมุทราเพื่อเพิ่มความเร็วในการสูบกินศิลาวิญญาณใต้ก้น แบบนี้ถึงจะรับรองได้ว่าวิชาใหม่จะไม่มีอะไรผิดพลาด

……

เมื่อเสิ่นเทียนประสานมุทรา ‘รวมวิญญาณ’ สูบกินศิลาวิญญาณและพลังวิญญาณโดยรอบอย่างบ้าคลั่งแล้ว เขาก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณที่รวมทั้งในและนอกร่างกายพุ่งถึงจุดสูงสุด

เสิ่นเทียนในเวลานี้ถูกสายฟ้าสีดำปกคลุมไปทั่วร่าง

เขารู้สึกว่าตอนนี้น่าจะสะสมพลังวิญญาณอัสนีพอประมาณแล้ว เขาจึงตบไตตัวเองทีหนึ่งก่อนตะโกนเสียงดัง

“ชุดเกราะแรดดำ ประกอบร่าง!”

สายฟ้าสีดำทั่วร่างเสิ่นเทียนรวมเข้ามาท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกุ้ยกงกงกับฉินเกา สายฟ้าสีดำพวกนี้วนเวียนผิวกายเขา รวมขึ้นเป็นชุดเกราะสีดำทั้งสง่าและดุดัน

ตรงหน้าอกและด้านหลังรวมถึงตรงบ่าของชุดเกราะถูกหุ้มด้วยแผงกำบังสายฟ้าหนา ตรงหน้าผากและบ่าสองข้างยังฝังนอแรดสีเงินอีกสี่อัน!

นั่นคือเสิ่นเทียนใช้น้ำมวลหนักปฐมกาลคลุมไว้ด้านบน

สรุป ชุดเกราะนี่ทั้งสง่าและดุดันมาก

เทียบกับเกราะเต่าดำรูปทรงกระดองเต่าก่อนหน้านี้แล้ว ไอ้นี่ระดับสูงกว่าไม่รู้กี่เท่า

เปลี่ยนร่างแล้ว เสิ่นเทียนควักกระจกจากอกเสื้อออกมาตรวจดูอย่างละเอียด ซึ่งเขาพอใจมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน