ลู่จิ้นยวนตามรถคนนั้นที่แสร้งปลอมเป็น ‘โม่โยว’ ไป
แต่โม่โยวตัวจริง กลับถูกโม่เทียนยวี๋พาตัวกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลโม่แล้ว สำหรับโม่เทียวยวี๋นั้น เขารู้สึกว่าสถานที่ที่เขาพำนักอาศัยอยู่นั้นยังคงจะปลอดภัยมากกว่า
บนเตียงขนาดใหญ่ สติการรับรู้ของโม่โยวค่อยๆ กลับคืนมา เธอลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ บริเวณระหว่างคิ้วขมวดย่นจนแน่น สมองตื้อไปหมด รู้สึกได้เพียงแต่ว่าปวดหัวเสียจนจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ
ราวกับว่ามีเศษแหลมเล็กๆ จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาข้างในสมองของเธอ และมากขึ้นทุกขณะด้วย เลือดที่เข้าไปเลี้ยงสมองของเธอไหลเข้าไปมากขึ้นจนหัวแทบระเบิด ทำให้เจ็บปวดทรมานอย่างที่สุด ใบหน้าของเธอไร้สีจนซีดเผือด
ไม่รีรอให้เธอมีสติรับรู้ชัดเจน ก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมา แต่เสียงนั้นก็เจือมาด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดราวกับคนแปลกหน้า “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”
โม่โยวเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นโม่เทียนยวี๋ เธอตื่นตะลึงตัวค้างไป เสี้ยววินาทีต่อมา ความทรงจำก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมาในสมอง โม่เทียวยวี๋ออกจากโรงพยาบาล เธอไปที่โรงพยาบาลนั้น หลังจากนั้น.......ก็ราวกับว่ามีคนทำให้เธอสลบไป
ใจของโม่โยวบีบรัดแน่นขึ้น ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นภายในใจอย่างอธิบายไม่ถูก หันไปมองดูรอบๆ ตัว
“ที่นี่.........”
ที่นี่คือคฤหาสน์หลักของตระกูลโม่ เธอมองไปเพียงหนึ่งทีก็จำได้แล้ว ก็ในเมื่อแรกเริ่มเดิมทีก็อยู่ที่นี่มานานเสียขนาดนั้น
“ที่นี่คือตระกูลโม่ และก็เป็นบ้านของเราอีกด้วย เธอคงยังไม่ลืมไปหรอกใช่ไหม” โม่เทียนยวี๋เอาสองมือขึ้นกอดอก เอาขาขึ้นพาดขาอีกข้าง นั่งอยู่บนโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างๆ สีหน้าที่แสดงออกมานั้นทำให้โม่โยวรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เทียนยวี๋ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่” สมองของเธอยังสับสนอยู่เล็กน้อย
โม่เทียนยวี๋เลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากยกขึ้นยิ้มอย่างชั่วร้าย “ก็ต้องเป็นฉันที่พาตัวเธอมาที่นี่ยังไงล่ะ"
“โม่โยว พวกเรารู้จักกันมา 5 ปีเต็มแล้วนะ เราทุกคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแลั้ว รู้จักคุ้นเคยกันมานานเสียขนาดนี้ ระหว่างเราก็ควรที่จะต้องมีความสัมพันธ์เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนฉันผิดเองที่ฉันไม่สนใจใยดีเธอ เธอคงจะโกรธมากเลยสินะ”
“ไม่เป็นไร ฉันเปลี่ยนแปลงได้ ที่นี่คือตระกูลโม่ แล้วก็ยังเป็นบ้านของเธออีกด้วย มีเรื่องหนึ่งที่เราควรที่จะรีบทำมาเสียตั้งนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป โม่โยว ฉันจะให้เธอมาเป็นของฉันโดยสมบูรณ์แบบ เธอดีใจไหม”
คำพูดที่เต็มไปด้วยคำบอกใบ้ที่แม้แต่คนโง่ก็ยังฟังออก โม่โยวตื่นตระหนกจนตัวแข็งไปทั้งอย่างนั้น
เธอได้สติคืนกลับมาในทันที ร่างทั้งร่างสั่นระริกอย่างหยุดไม่ได้ ตระหนกมากเสียจนถอยไปทางด้านหลัง ดวงตาเบิกโพลงจ้องไปที่โม่เทียนยวี๋ สีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อพลางส่ายหัวไปมา
“เทียนยวี๋ คุณ นี่มันอะไรกันเนี่ย พวกเราเลิกกันไปแล้วนะ คุณจะมาทำแบบนี้ไม่ได้”
“เลิกกัน? ใครยอมให้เธอเลิกกับฉันกัน ฉันตกลงแล้วด้วยงั้นเหรอ” โม่เทียนยวี๋ตะคอกออกมาโดยพลัน สีหน้าบิดเบี้ยว
เขากัดฟันกรอดจ้องเธอตาเขม็ง “ทำไม ไม่อยากอยู่ด้วยกันขนาดนี้เลยงั้นเหรอ ก่อนที่จะบอกเลิกกันเธอคงจะเฝ้ารอคอยจนตัวสั่นเลยละสิ เปลี่ยนใจเลิกรักกันเร็วขนาดนี้เลยใช่ไหม”
“ฉันขอบอกเธอไว้เลยนะว่า ตอนแรกถ้าไม่มีพวกเราตระกูลโม่ล่ะก็ เธอคงตายไปตั้งนานแล้ว จะมีอยู่เหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไรกัน ฉันโม่เทียนยวี๋ยอมที่จะขอเธอแต่งงาน เธอก็ควรที่จะสำนึกในบุญคุณแล้วน้อมรับสิ มึงมีหน้าอะไรมาปฏิเสธกู?”
“นังผู้หญิงชั้นต่ำ คิดว่าตัวเองปีนไปเกาะลู่จิ้นยวนได้คงเก่งมากเลยสิท่า คิดจะเล่นกูงั้นเหรอ สบายใจได้ กูจะบอกให้มึงสำเหนียกไว้เลยนะว่า คิดจะเล่นกูแล้วจะมีจุดจบแบบไหน”
โม่โยวสีหน้าตื่นตระหนก ทั้งคำพูดของโม่เทียนยวี๋ แล้วก็ท่าทางแบบนี้ของเขา ทำให้เธอรู้สึกผวาได้จริงๆ เธอเผยอปากออกแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดอารมณ์ตื่นตระหนกที่อยู่ภายในใจของตนเองให้สงบลงไว้ หยิกตัวเองอย่างเงียบๆ เพื่อบอกตัวเองให้สงบสติอารมณ์ลงเสีย
ตอนนี้โม่โยวมีความรู้สึกหนึ่งที่บอกเธอว่า ท่าทางของโม่เทียนยวี๋ดูราวกับว่ามีอะไรผิดปกติ เธอเหลือบตามองไปยังทิศทางที่มีประตู ตนจะต้องคิดหาทางหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เธอก็คงจบสิ้นแล้ว
“เทียนยวี๋ ฉันไม่รู้ว่าคุณเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้อย่างไร คุณใจเย็นลงก่อนเถอะ พวกเรามาคุยกันดีๆ ก่อนดีไหม คุณอย่าพึ่งโมโหเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก