ผิงเสี่ยวหลิงเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มีคนจำนวนน้อยมากที่จะรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกับฉาวซิง
หลังจากที่มาถึงคฤหาสน์ตระกูลฉาว แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะเข้าไปด้านในงาน กลับเลือกที่จะยืนรออยู่ที่หน้าประตูนั้น ก็เป็นเพราะได้ทราบจากฉาวซิงมาก่อนหน้าแล้วว่า วันนี้เย่อู๋เทียนจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วย
ในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าผิงเสี่ยวหลิงจะต้องรอให้เย่อู๋เทียนมาถึงแล้ว จึงจะเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลฉาว
ที่สำคัญที่สุดก็คือ นี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากในชีวิตที่จะได้พบเจอกับเย่อู๋เทียน แน่นอนว่าเขาจะต้องหวงแหนมันให้มากที่สุด
เย่อู๋เทียนก็หันมองมาที่ผิงเสี่ยวหลิง และถามขึ้นว่า: “นายมาได้อย่างไรกัน? ”
ผิงเสี่ยวหลิงตอบกลับอย่างเคารพว่า: “ฉันกับฉาวซิง เป็นเพื่อนกัน”
เย่อู๋เทียนพยักหน้า โดยที่ไม่ได้พูดอะไรมาก และยิ่งไม่ได้ไปให้ความสนใจอะไรกับผิงเสี่ยวหลิง
ผิงเสี่ยวหลิงก็มองไปยังเสิ่นรั่วชิง และพูดขึ้นอย่างเคารพว่า: “ผิงเสี่ยวหลิง คารวะภรรยาของท่านเจ้าหอ”
แม้ว่าเสิ่นรั่วชิงจะยังไม่ค่อยเคยชินกับสถานะที่มากมายของตัวเองในเวลานี้ แต่ก็ยิ้มรับอย่างมีมารยาท ถือว่าเป็นการทักทายกับผิงเสี่ยวหลิง
ขณะเดียวกัน เย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิง ก็กลายเป็นจุดสนใจของภายในงานทั้งหมดไปแล้ว พวกนักธุรกิจใหญ่ทั้งหลายที่มาอวยพรแสดงความยินดีกับฉาวซิงนั้น ต่างก็กำลังคาดเดากันว่า พวกเขาสองคนนี้มีสถานะอะไรกันแน่!
เพราะเฉิงโม่หนงที่เป็นถึงผู้บริหารสูงสุดเทียนจวิน กรุ๊ป ยังต้องเดินตามหลังพวกสองคนนี้ด้วย
แม้ว่าเฉิงโม่หนงจะไม่รู้สึกว่าการเดินตามหลังเย่อู๋เทียนนั้นจะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่การที่เดินตามหลังเสิ่นรั่วชิงนั้นมันจะยังไงชอบกล เหมือนกับว่าตัวเองกลายมาเป็นคนที่สร้างความโดดเด่นเสริมให้กับหล่อนไปอีก!
เฉิงโม่หนงมองไปยังใบหน้าของผู้คนที่คุ้นเคยจำนวนไม่น้อยในคฤหาสน์ตระกูลฉาว ซึ่งเป็นถึงพวกนักธุรกิจใหญ่ที่มาจากแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ จึงได้พูดกระซิบกับเย่อู๋เทียนว่า: “ฉันพบเห็นคนรู้จักจำนวนหนึ่ง ขอตัวไปพูดคุยทักทายกับพวกเขาก่อน”
เย่อู๋เทียนพูดว่า: “ได้สิ คุณไปเถอะ”
จากนั้น เฉิงโม่หนงก็เดินอย่างสะโอดสะองเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลฉาว ในทุกท่วงท่า ต่างก็แสดงออกถึงลักษณะท่าทางของนักธุรกิจหญิงแกร่ง ตลอดทางที่เดินผ่านไป ก็สร้างบรรยากาศคึกคักขึ้นเป็นอย่างมาก
ก็เพื่อต้องการให้เสิ่นรั่วชิงเห็นว่า ในวงการธุรกิจแห่งประเทศหลงนั้น เธอเฉิงโม่หนงมีสถานะที่สูงส่งมากขนาดไหน!
ผู้คนที่กำลังพบปะทักทายกันภายในงาน ต่างก็เป็นพวกนักธุรกิจใหญ่ที่ดูแลครอบครองในแต่ละพื้นที่!
สายตาของเสิ่นรั่วชิงที่มองไปยังเฉิงโม่หนงนั้น ก็เกิดความอิจฉาอยู่บ้างเหมือนกัน ซึ่งเมื่อไรล่ะ ที่ตัวเองจะสามารถมีลักษณะท่วงท่าที่โดดเด่นอย่างนี้บ้าง?
ขณะที่เสิ่นรั่วชิงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เฉียนเป่ยเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พลันถามเธอขึ้นว่า: “ซือเนี๊ย ท่านหิวแล้วหรือยัง? เดี๋ยวฉันจะไปนำของกินมาให้ท่าน? ”
เสิ่นรั่วชิงมองไปที่เฉียนเป่ยเฉิน และย้อนถามว่า: “นายหิวแล้วเหรอ? ”
เฉียนเป่ยเฉินพูดขึ้นอย่างเก้อเขินว่า: “ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวแล้วจริง ๆ”
แม้ว่าเสิ่นรั่วชิงจะเป็นซือเนี๊ยของของเฉียนเป่ยเฉิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายในใจ ได้ถือว่าเฉียนเป่ยเฉินนั้นเป็นน้องชายคนหนึ่ง เมื่อเห็นเขาในสภาพนี้ ก็พูดขึ้นอย่างเอ็นดูว่า: “แล้วทำอย่างไรดีล่ะ? งานเลี้ยงฉลองของตระกูลฉาวคงอีกสักพักถึงจะเริ่มต้นขึ้น ถ้าอย่างนั้นฉันจะสั่งแฮมเบอร์เกอร์มาให้นายทานก่อนดีไหม? ”
เฉียนเป่ยเฉินจึงชี้ไปยังโต๊ะยาวที่จัดวางอาหารบุพเฟ่ต์จำนวนมากภายในคฤหาสน์ด้วยท่าทางเขินอาย และพูดขึ้นว่า: “ฉันไปเอาอาหารจากที่ตรงนั้นก็ได้แล้ว ฉันชอบทานของหวาน”
เสิ่นรั่วชิงมองตามไปยังทิศทางที่เฉียนเป่ยเฉินชี้ไป ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ตกลง งั้นนายไปเถอะ ใช่แล้ว ช่วยดูหน่อยว่าที่นั่นมีทีรามิสุไหม ฉันเองก็ชอบทานเหมือนกัน”
เฉียนเป่ยเฉินหัวเราะฮ่าฮ่าและพูดว่า: “ได้เลย! ”
ขณะที่พูด เฉียนเป่ยเฉินก็วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลฉาว
เวลานี้ พวกนักธุรกิจใหญ่ภายในคฤหาสน์ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับเย่อู๋เทียนและเสิ่นรั่วชิงแล้ว เพียงแค่รู้สึกว่า เมื่อครู่เป็นไปได้ที่จะเกิดการเข้าใจผิดอะไรเล็กน้อย
เมื่อสักครู่ที่เฉิงโม่หนงเดินตามพวกเขาสองคนนี้นั้น อาจจะเป็นเพราะรู้จักกัน ไม่ได้มีความหมายอื่นใด
จากนั้น ทางผิงเสี่ยวหลิงก็ได้นำทาง พาเย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิงเดินกันเข้ามาภายในคฤหาสน์ตระกูลฉาว
และในขณะนั้นเอง ด้านหลังของพวกเขา ก็เกิดเสียงดังเฮฮาโห่ร้องกันขึ้น
สายตาของแขกส่วนใหญ่ ได้ถูกภาพเหตุการณ์ด้านหลังของเย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิงดึงดูดเข้าแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบอหังการ
เรื่องนี้อะไรก็ดีหมด เสียอย่างเดียวคือไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนพยายามจะยัดเยียดพระเอกให้มีเมียมากกว่า1? พระเอกเก่งมีเมียคนเดียวไม่ได้?...