จอมนักรบอหังการ นิยาย บท 2

ทันใดนั้น ภาพของหญิงสาวที่มีหน้าตาสดใส และท่าทางที่อ่อนโยน ก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเย่อู๋เทียน

ในตอนนั้น คู่หมั้นอยู่ในสภาพที่กำลังใกล้จะตาย ยิ่งทำให้เย่อู๋เทียนพลันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมากที่สุด

ทั้งสองคนเติบโตขึ้นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก กิ่งทองใบหยก และหมั้นกันตั้งแต่อยู่ในท้อง ซึ่งทุกคนต่างก็รู้สึกว่า ทั้งสองคนคือคู่สร้างคู่สมอย่างแท้จริง

เย่อู๋เทียนชื่นชอบหลงใหลในวิชาบู๊มาตั้งแต่เด็ก ส่วนคู่หมั้นของเขานั้น ก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่!

โดยทั่วไปต่างพูดกันว่าคนจนร่ำเรียนหนังสือส่วนคนรวยร่ำเรียนวิชาบู๊ แม้ว่าเย่อู๋เทียนจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านวิชาบู๊ แต่ในตระกูลกลับเน้นหนักให้ความสำคัญในเรื่องของการดำเนินธุรกิจ

ยิ่งไปกว่านั้นการที่ครอบครัวไม่ได้เห็นค่าและให้ความสำคัญต่อพ่อของเย่อู๋เทียน จึงทำให้เย่อู๋เทียนยิ่งจะไม่ได้รับการยอมรับและการสนับสนุนจากครอบครัวเข้าไปอีก

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ทางคู่หมั้นก็ยังคงนำเงินออกมาจากตระกูลของเธอ เพื่อให้เย่อู๋เทียนใช้จ่ายในส่วนที่ขาดเหลืออยู่เป็นประจำ

ตอนอายุสิบแปดปี เย่อู๋เทียนไม่ต้องการที่จะสร้างความเดือดร้อนต่อคู่หมั้นของตนอีกแล้ว จึงได้ตัดสินใจสมัครเข้าเป็นทหารอย่างเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นที่จะอุทิศตนเพื่อรับใช้ประเทศ และในขณะเดียวกัน ก็คิดที่จะพลีชีพในการศึกสงคราม

แม้ว่าคู่หมั้นจะไม่ยินยอมอย่างมาก แต่ก็ได้ตอบตกลงในข้อสัญญาระหว่างกันสิบปี!

ในปีที่สามที่เย่อู๋เทียนเข้าเป็นทหารได้กลับมาเยี่ยมหาครั้งหนึ่ง

และในครั้งนั้นเอง ที่ประสบกับการต่อต้านขัดขวางของสิบสองเทพแห่งวิหารจอมเทพ จึงทำให้คู่หมั้นของเขาได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนี้!

จวบจนบัดนี้ ทั้งรอยยิ้มและน้ำเสียงของคู่หมั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจ

เย่อู๋เทียน ไม่อาจลืมเลือมได้!

เจ็ดปีที่ผ่านมา เย่อู๋เทียนได้ฝึกฝนอย่างหนักอยู่ภายในคุกใต้ดินของเรือนสั่งสอน ซึ่งคู่หมั้นนั้นคือกำลังใจหลักที่สำคัญของเขาแต่เพียงสิ่งเดียว!

วันนี้ ครบกำหนดตามสัญญาสิบปีแล้ว เย่อู๋เทียน ไม่ได้ผิดสัญญา เขาเพียบพร้อมด้วยพลังความสามารถที่จะทำให้คู่หมั้นของเขาฟื้นคืนสติกลับขึ้นมาได้แล้ว!

หลังจากนี้ไป จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเธอไปจนแก่เฒ่า!

โดยที่คาดไม่ถึงเลยว่า เวลานี้ซิวหลัวกลับบอกกับเขาว่า คนที่พลาดได้รับบาดเจ็บในตอนนั้นไม่ใช่คู่หมั้นของเขา!

เย่อู๋เทียนอยู่อาศัยกับคู่หมั้นของเขามาโดยตลอด แล้วแบบนี้เขาจะกล้าเชื่อได้อย่างไร?

ซิวหลัวพูดอธิบายต่อว่า:

“ในตอนนั้น วิหารจอมเทพได้รับข่าวสาร ทราบว่าชิงตี้มีเรื่องไม่ลงรอยกับคนในตระกูล โดยคนที่สามารถเข้าใกล้ตัวท่านได้มากที่สุด ก็มีแต่คู่หมั้นของท่านเพียงคนเดียว ครั้นแล้วพวกเขาจึงได้อาศัยช่วงจังหวะที่พวกท่านนัดหมายกัน คิดหาวิธีการขัดขวางพวกท่าน ก็เพื่อต้องการใช้คู่หมั้นของท่านเป็นคนที่ควบคุมตรึงตัวท่านเอาไว้! ”

“แต่ช่วงไม่นานก่อนหน้านี้ ฉันก็ได้รับคำสั่งใหม่ โดยทางวิหารจอมเทพเกรงว่าท่านจะไม่ยอมรับผิดและเข้าร่วมกับพวกเราโดยดี จึงได้คิดอุบายบีบบังคับคู่หมั้นของท่านอีกครั้ง แต่เมื่อฉันเดินทางไปถึงกลับพบว่า นอกจากผู้หญิงคนนั้นที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ในบ้านของท่านยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าเสิ่นจูนอี๋ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ฉันเกิดความสงสัยขึ้น! ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ขณะที่ซิวหลัวกำลังจะพูดต่อไปนั้น ก็ได้ยินเสียงดังตูมตามขึ้น!

โดยคิดไม่ถึงว่าก้อนหินยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาจะระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน!

เย่อู๋เทียน กระโดดลอยตัวขึ้นจากพื้นดิน!

พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!

โดยจุดที่ไปหยุดอยู่นั้น ก็คือบนหลังของนกอินทรีหิมะขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่บินวนเวียนอยู่บนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาหิมาลัยมาเป็นเวลานานกว่าเจ็ดปี!

ซิวหลัวเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ก็รีบลุกยืนขึ้น และกำหมัดขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ชิงตี้ ระมัดระวังและรักษาตัวให้ดีด้วย! ”

ในบริเวณโดยรอบไม่ว่าจะเป็นพวกชุดเกราะสีดำทั้งสิบสองคนที่กระเด็นลอยไปไกล หรือว่าพวกสิงห์ร้ายอันธพาลที่ได้หลุดพ้นออกจากคุกใต้ดินและกลับมาใช้ชีวิตใหม่อีกครั้งเพราะเย่อู๋เทียนนั้น เวลานี้ต่างก็พากันลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก มองไปยังทิศทางที่เย่อู๋เทียนจากไป พร้อมกับคุกเข่าข้างเดียวลงกับพื้น และพูดพร้อมเพรียงกันว่า

“ชิงตี้ ระมัดระวังและรักษาตัวให้ดีด้วย! ”

......

ณ ประเทศหลง

ในเมืองเจียงไห่

เย่อู๋เทียนยืนอยู่ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังหนึ่งที่มีพื้นที่กว้างใหญ่นับพันโหม่ว ในสภาพท่าทางสั่นเทาเล็กน้อย

โดยคฤหาสน์ที่อยู่เบื้องหน้านี้ ก็คือตระกูลเย่

ออกจากบ้านไปนานเจ็ดปี กระทั่งกลับมาถึงในวันนี้ กลับรู้สึกว่าตนเองมีสภาพจิตใจที่ซับซ้อน

แต่เมื่อนึกขึ้นว่านอกจากคนที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลคนนั้นแล้ว ในบ้านยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าเสิ่นจูนอี๋

เย่อู๋เทียนก็ก้าวเดินไปยังหน้าประตูใหญ่ของตระกูลเย่ทันที

เพราะว่าผู้หญิงที่สลบไม่ได้สติมานานเจ็ดปีในรงพยาบาลนั้น ถึงแม้เย่อู๋เทียนจะมีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้เธอได้สติฟื้นขึ้นมาได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลา

จึงควรลองสอบถามผู้หญิงคนที่อยู่ในบ้านที่ชื่อเสิ่นจูนอี๋เหมือนกันก่อนจะดีกว่าว่า ตกลงสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่!

ในเรื่องทั้งหมดนี้ จะต้องมีความลับที่ปกปิดอยู่มากมายเป็นแน่!

เย่อู๋เทียนต้องการที่จะรับทราบโดยเร็วที่สุด!

แต่ในขณะนั้นเอง ยามตัวสูงใหญ่ก็ได้ยืนขวางทางเย่อู๋เทียนเอาไว้

“ไอ้ขอทานคนนี้มาจากที่ไหน ไสหัวไปซะ! หากว่ามาทำความสกปรกให้กับประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลเย่แล้ว ถึงแม้แกจะมีสักสิบชีวิต ก็ชดใช้ทดแทนคืนไม่ได้! ”

เย่อู๋เทียนอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยมานานเจ็ดปี โดยที่ไม่ได้ตัดผม ไม่ได้โกนหนวดเครา อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ขาดหลุดรุ่ย มันช่างดูไม่ได้เสียจริงเลย

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ยามของบ้านก็ไม่สมควรที่จะไร้มารยาทขนาดนี้!

นอกจากนี้ เมื่อเจ็ดปีก่อนที่เย่อู๋เทียนกลับมาอย่างสมเกียรตินั้น ก็ได้ปรับเปลี่ยนยามเฝ้าประตูบ้านเป็นพวกทหารอาวุโสที่ผ่านศึกการรบมาอย่างโชกโชนแล้ว

สำหรับยามที่อยู่เบื้องหน้านี้ แม้ว่าจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งบึกบึน เมื่อมองดูภายนอกแล้วเหมือนจะดีแต่ความจริงไม่ได้เรื่อง ทำไมถึงได้มาเป็นยามเฝ้าประตูของตระกูลเย่ได้ล่ะ?

เย่อู๋เทียนพูดขึ้นว่า: “นายเพิ่งมาทำงานใหม่ใช่ไหม? ”

ยามกลับดุด่าเสียงดังใส่: “แม่งสิ แกต่างหากที่มาใหม่! ฉันทำงานอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่มาตั้งเจ็ดปีแล้ว! แกนี่ช่างมีตาแต่หามีแววไม่เสียจริง! ”

เย่อู๋เทียนแสดงสายตาเย็นชาออกมา

ส่วนยามก็เกลือกตาไปมา เหมือนจะคิดแผนการชั่วร้ายอะไรขึ้นมาได้

ไม่นานมานี้เจ้าบ้านป่วยหนัก ภาพวาดโบราณในห้องสูญหายไปหนึ่งภาพ

ในเมื่อไอ้ขอทานมาอยู่ต่อหน้าแล้ว ก็ใส่ร้ายโยนความผิดให้กับเขาไปเลยดีกว่า และตนเองก็สามารถไปขอปูนบำเหน็จรางวัลได้!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบอหังการ