ภิกษุวัยกลางคนเงียบลง
เย่อู๋เทียนกล่าวขึ้นอีก
“ผมเคยพบหานจื่อเซียนแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้น เธอก็หายตัวไปแล้ว”
ภิกษุวัยกลางคนมองไปที่เย่อู๋เทียน แล้วพูดประโยคหนึ่ง
“หานจื่อเซียน เป็นแม่แท้ๆของประสก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่อู๋เทียนรู้สึกสะเทือนใจ แต่หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กลับมาสุขุมเหมือนเดิม
จากนั้นเย่อู๋เทียนก็ถามอย่างใจเย็น
“ในเมื่อเป็นแม่แท้ๆ ของผม แล้วทำไมเธอถึงมอบผมให้กับหาน...มอบให้แม่ของผมเลี้ยงดู?”
ภิกษุวัยกลางคนตอบ
“พวกเธอทั้งสองเป็นพี่น้องกันแท้ๆ จริงๆ แล้วหว่านเอ๋อร์เป็นน้าหญิงเล็กของประสก ส่วนอาตมา ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพวกเธอ ผู้ชายคนนั้นที่แม่ของอาตมาแต่งงานใหม่ด้วย เป็นตาของประสก และเป็นพ่อบุญธรรมของอาตมาด้วย”
“แม้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของประสกกับน้าหญิงเล็กของประสกจะมีแม่คนเดียวกัน แต่ทั้งสองก็มีเส้นทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!”
“แม่แท้ๆ ของประสกหนีออกจากบ้านตอนอายุได้สิบขวบ พออายุได้สี่สิบห้า เธอก็เลือดท่วมตัวล้มอยู่หน้าประตูตระกูลหานโดยอุ้มประสกไว้ในอ้อมแขน น้าหญิงเล็กถามแม่แท้ๆ ของประสกว่าเกิดอะไรขึ้น...”
“ฮ่า ไม่บอก ยังไงก็ไม่บอก ต่อมาก็ฝากประสกไว้กับน้าหญิงเล็ก แล้วก็จากไป”
“ไม่กี่ปีต่อมา เธอกลับมาอีกครั้ง มองประสกอยู่ไกลๆ อ้อ ครั้งล่าสุดที่เธอกลับมา บังเอิญเป็นวันที่น้าหญิงเล็กของประสกพาประสกกลับจากตี้ตูมาที่เมืองเจียงไห่”
“ตอนนั้นอาตมาขับรถตามหลังไป พบว่ามีนักบวชหญิงชุดดำขวางทางพวกประสกอยู่ คนที่อยู่ข้างกายนักบวชหญิงผู้นั้นคือเย่ฉิงชาง”
“เรื่องราวต่อมาภายหลัง อาตมาก็ไม่รู้แล้ว”
หลังจากเย่อู๋เทียนฟังจนจบ
สายตาก็เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ผ่านไปครู่ใหญ่
จึงกล่าวออกมาด้วยความเสียใจ
“ตอนนั้นผมหลับอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าที่แม่ของผมตายด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส เพราะของสิ่งหนึ่งที่อยู่ในมือเธอตอนนั้น”
ภิกษุวัยกลางคนหรี่ตาลง
“ของอะไร?”
เย่อู๋เทียนหยิบแผ่นหินสมบัติออกมาวางบนโต๊ะ
“ของแบบนี้”
ภิกษุวัยกลางคนหยิบแผ่นหินสมบัติขึ้นมามองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“ลวดลายลี้ลับบนนี้ คือภาษาหลัวฝูที่สูญหายไปนับพันปีเองเหรอ?”
เย่อู๋เทียนตกตะลึง
“ท่านรู้จักภาษาหลัวฝูด้วยเหรอ?”
ภิกษุวัยกลางคนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“อาตมานับถือพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จึงย่อมรู้จักภาษาหลัวฝู เพียงแต่อาตมาอ่านไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลวดลายลี้ลับบนนี้หมายความว่าอย่างไร!”
เย่อู๋เทียนอธิบายอย่างใจเย็น
“แค่แผนที่แผ่นหนึ่งเท่านั้น สัญลักษณ์บนนั้นทั้งหมดเป็นตำแหน่งของสายแร่หินแก่นม่วง นอกจากแผนที่แล้ว บนนั้นยังมีวิธีการฝึกฝนวิชาชี่ด้วยด้วย ผมยังไม่เคยเห็นเลย”
ภิกษุวัยกลางคนสีหน้าตกตะลึง มองเย่อู๋เทียนด้วยความประหลาดใจ
“ประสกเข้าใจภาษาหลัวฝูด้วยเหรอ?”
เย่อู๋เทียนพยักหน้า
“ในบรรกระบี่รรพบุรุษของตระกูลหานแห่งตี้ตู มีจักรพรรดิองค์หนึ่งที่เคยครอบครองประเทศเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ประเทศหลัวฝู”
“ภาษาหลัวฝูนั้นทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ขอเพียงเข้าใจวิชาชี่จักรพรรดิของตระกูลหาน แยกสัทศาสตร์พลังขั้นก่อเกิดในวิชาชี่นี้ ก็คือสิ่งที่เรียกว่าภาษาหลัวฝู!”
“อันที่จริงเทียบกับระบบการถ่ายทอดเสียงรูปแบบอื่น มันก็มีความสวยงามไปคนละแบบ!”
ภิกษุวัยกลางคนมีสีหน้าตกใจ
จับจ้องเย่อู๋เทียนชั่วขณะหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา
“หลายปีมานี้ อาตมาใช้เส้นสายที่มีในมือเพื่อสืบหานักบวชหญิงและชายที่ชื่อเย่ฉิงชางที่ขวางทางประสกกับน้าหญิงเล็กในปีนั้น แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย!”
เย่อู๋เทียนกินบะหมี่คำหนึ่งแล้วพูดออกมา
“เย่ฉิงชางไม่มีความสำคัญอะไร นักบวชหญิงคนนั้นแซ่กัว ชื่อเถาจือ!”
ภิกษุวัยกลางคนถามอย่างร้อนใจ
“อีกฝ่ายมาจากไหน?”
เย่อู๋เทียนตอบอย่างเฉยเมย
“เอ๋อเหมย!”
เมื่อภิกษุวัยกลางคนได้ยินอักษรสองตัวนี้ ใบหน้าก็ขาวซีดราวกับกระดาษ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากถาม
“รอบนอกภูเขาเอ๋อเหมย หรือส่วนหลังภูเขาเอ๋อเหมย?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบอหังการ
เรื่องนี้อะไรก็ดีหมด เสียอย่างเดียวคือไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนพยายามจะยัดเยียดพระเอกให้มีเมียมากกว่า1? พระเอกเก่งมีเมียคนเดียวไม่ได้?...