จอมนักรบทรงเกียรติยศ นิยาย บท 155

สรุปบท บทที่ 155 พลังอำนาจของลู่หงปอ: จอมนักรบทรงเกียรติยศ

บทที่ 155 พลังอำนาจของลู่หงปอ – ตอนที่ต้องอ่านของ จอมนักรบทรงเกียรติยศ

ตอนนี้ของ จอมนักรบทรงเกียรติยศ โดย โซ่วปี่หนานซาน ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 155 พลังอำนาจของลู่หงปอ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ใบหน้าของลู่หงปอนั้นยังมีร่องรอยของความเย่อหยิ่งบนใบหน้า เขามองสำรวจหัวจรดเท้าของชายหนุ่มที่แต่งตัวธรรมดาคนนี้ พร้อมกับเยาะเย้ยและพูดว่า “ใช่ ฉันนี่แหละคือลู่หงปอ แกเป็นใครกัน?มาหาฉันมีเรื่องอะไร?”

ขณะที่พูด ก็โบกมือให้กับหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง หญิงคนนั้นหักองุ่นในจานของเธอพร้อมกับเดินมา เขายกมือขึ้นและหยิบองุ่นขึ้นมากิน มันช่างเป็นการทำตัวเหมือนจักรพรรดิเสียจริง

ในพื้นที่ของเขา เขาไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวอะไร เพราะว่ามันเป็นที่ของเขาเอง

ฟางเหยียนหันกลับไปในห้องโถง มองดูบ้านอันงดงามของเขา เขาช่างเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดจริงๆ สถานที่ที่อาศัยอยู่ล้วนสร้างเช่นนี้ มีอาคารสไตล์ยุโรปอยู่ด้านนอก แต่ภายในทั้งหมดกลับมีเค้าโครงของพระราชวัง

ฟางเหยียนมองขึ้นไปที่เสามังกรทั้งสอง จากนั้นก็มองไปที่พื้นสีเหลืองทองที่ปูอยู่บนพื้น เขาพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ฉันมาเพื่อมาเอาของจากนาย ของบางอย่างที่ไม่ใช่ของของนาย ก็ควรที่จะเอาไปคืนเจ้าของเดิมซะ!”

ทันทีที่ลู่หงปอได้ยินสิ่งนี้ เขาก็หยุดที่จะหยิบองุ่นลูกที่สองลง พร้อมกับพูดมันซ้ำ “คืนของ?”

“นี่แกคิดว่าลู่หงปอคนนี้เป็นคนที่ต้องติดหนี้คนอื่นเขาหรือไงกัน?ดูที่นี่สิ ฉันขาดอะไรงั้นเหรอ?ฉันจะบอกอะไรให้ ทุกอย่างที่นี่ ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของแกล้วนอยู่ภายใต้ชื่อของฉันทั้งนั้น ต้องการของก็เลยมาหาฉันเหรอ?ดูตัวเองหน่อย แกมาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาหาเรื่อง!” ลู่หงปอตบโต๊ะต่อหน้าเขา กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นเทา

เขาค่อนข้างแน่ใจว่าไม่รู้จักชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้

แน่นอน ว่าอายุยังน้อย เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นคนยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้น

ฟางเหยียนมองไปที่ลู่หงปออย่างนิ่งเฉย พร้อมกับพูดอย่างสงบออกไปว่า “จริงเหรอ?นายลองคิดให้ดีๆหน่อย!นายมีเวลาหนึ่งนาที ถ้ายังคิดไม่ออก ฉันจะบอกให้!”

หลังจากพูดจบ ฟางเหยียนก็เดินไปรอบๆห้องโถงต่ออย่างสบายใจ

ความยิ่งใหญ่ของลู่หงปอนั้นถูกข่มขู่เป็นครั้งแรก ชายคนนี้เดินไปถึงห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทีที่สงบและน้ำเสียงที่ดูมั่นใจขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจะมาเพื่อหาเรื่องจริงๆซะด้วย ถ้ามาเพื่อหาเรื่อง ก็ดูเหมือนว่าจะอยู่บนหัวของตนทั้งหมดนี่แหละ!

ลู่หงปอกัดฟัน หรี่ตาลงพร้อมที่จะพูด

แต่ในขณะนี้ ชายร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตู เมื่อเดินเข้ามาชายคนนั้นเป็นชายร่างกำยำที่ดูเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ รองเท้าบูตที่เท้าของเขาได้ดึงดูดความสนใจของลู่หงปอมากยิ่งขึ้นไปอีก

เป็นคนในสนามรบงั้นเหรอ?เมื่อเห็นว่าเขายังมีเลือดเปื้อนอยู่ ลู่หงปอก็พอจะมั่นใจถึงการมาของชายคนนี้ได้ ดูเหมือนว่าบอดี้การ์ดของเขาจะให้ความมั่นใจนี้ได้เพียงพอเลยล่ะ

ใช่แล้ว บอดี้การ์ดคนนี้มีพลังออร่าของคนที่เคยเผชิญหน้ากับทหารนับพันมาแล้วอย่างแน่นอน!

เทียนขุยยืนอยู่ตรงหน้าฟางเหยียนแลละกล่าวว่า “จัดการเสร็จแล้วครับ จอมพลโผ้จวิน!”

ฟางเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เงยหน้าขึ้นมาเพื่อเตือนลู่หงปอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “นายเหลือเวลาอีกสามสิบวินาที!”

สีหน้าของลู่หงปอนั้นเปลี่ยนไป เขาไม่ได้สนใจสามสิบวินาทีนั่นหรอก แต่สนใจกับคำพูดของคนที่เข้ามาที่พูดว่าจัดการเสร็จแล้วต่างหาก เขาพูดว่าจัดการเสร็จแล้ว หมายความว่าเขาฆ่าเฮยไป๋อู๋ฉาง ยมทูตหน้าขาวดำของตนไปแล้วอย่างงั้นเหรอ?

เมื่อเห็นเลือดบนตัวผู้แข็งแกร่ง เป็นไปได้ไหมที่เฮยไป๋อู๋ฉาง ยมทูตหน้าขาวดำจะเจอเรื่องที่คาดคิด?กล้าฆ่าคนในถิ่นของตน สองคนนี้นี่ดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว หรือว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของตนมาก่อนนั้นเหรอ?

“พวกแกเป็นใครกันแน่?”ลู่หงปออดไม่ได้ที่จะถาม

ฟางเหยียนเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “สิบวินาที!”

สองคำนี้นั้นทำให้ลู่หงปอทนแทบไม่ไหว ชายคนนี้นี่เกิดมาเพื่อหาเรื่องจริงๆ

“รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”ลู่หงปอพูดประโยคนี้ออกไป เขาอดไม่ได้ที่จะตรวจสอบดูฟางเหยียนอีกครั้ง

ฟางเหยียนมองมาที่เขา พูดคำต่อคำว่า “หมดเวลาแล้ว!คิดออกหรือยัง?”

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่ลู่หงป่อพูด

นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่หงปอโดนละเลย เขาเป็นคนที่เมินคนอื่นเสมอ แต่ความเย่อหยิ่งของบุคคลนี้ก็เกินความคาดหมายของเขาเล็กน้อย เขายืนขึ้นจากโซฟาลายมังกรแล้วตะโกนว่า “รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?ฉันจะบอกให้ ฉันไม่สนว่าแกจะเป็นใคร แต่ทางที่ดีคือไสหัวออกไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้พวกแกต้องเสียใจที่มาที่นี่”

การเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าของฟางเหยียน เขากล่าวว่า “เสียใจ?ฉันจะมาทำเรื่องที่เสียใจทีหลังทำไมกันล่ะ?ลู่หงปอ นายเอาของคนอื่นไป ลืมไปแล้วหรือว่านึกไม่ออกกันแน่?”

ใบหน้าของลู่หงปอหุบลงทันที เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ลู่หงปอทีละนิด ในที่สุดก็ให้เขาได้เห็นโซฟาลายมังกรนั้น แผ่นมังกรขนาดใหญ่เหมือนจริงสองแผ่นอยู่ที่ปลายของโซฟา ยังคงดูคุ้นเคย อีกทั้งกลิ่นอายของมัน นี่คือโซฟาของลุงเย่ มีเพียงทายาทของตระกูลเย่เท่านั้นที่สามารถนั่งได้ ลู่หงปอกล้ามานั่งได้ยังไงกัน

โซฟาลายมังกรของตระกูลเย่เป็นสิ่งที่แสดงถึงตำแหน่งและเป็นมรดก ครั้งเมื่อเย่เทียนยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับโซฟาตัวนั้น เขาบอกเพียงว่ามีเพียงทายาทของตระกูลเย่เท่านั้นที่สามารถนั่งบนโซฟาตัวนั้นได้ เช่นเดียวกับจักรพรรดิในสมัยโบราณ

ความพิเศษของโซฟาตัวนั้นไม่ใช่ตำแหน่งในการนั่ง แต่เป็นมังกรที่อยู่บนโซฟาสองตัว พวกมันถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ ว่ากันว่าสูญหายไปแล้ว มันถูกสืบทอดโดยบรรพบุรุษของตระกูลเย่และถือเป็นมรดกของตระกูลเย่อีกด้วย

“จำได้ไหมว่าไปเอาโซฟาตัวนี้มาจากไหน?” ฟางเหยียนถามอย่างฉุนเฉียว

โซฟา?ลู่หงปอเหลือมองโซฟาลายมังกรที่เขานั่งอยู่ ทันใดนั้นก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้

เขามองไปที่ฟางเหยียนและถามว่า “แกมาจากตระกูลเย่งั้นเหรอ?”

ดูเหมือนว่าท้ายที่สุดก็จะเข้าใจเสียที!

ฟางเหยียนตอบว่า “ไม่ผิด ฉันคือคนของตระกูลเย่!ฉันมาเอาของของตระกูลเย่คืน เมื่อหกเดือนก่อน สิ่งของของตระกูลเย่ทุกชิ้น ฉันต่างเอามันกลับคืนมาได้ทั้งหมด”

ลู่หงปอหัวเราะ พร้อมกับหันไปมองที่โซฟาที่เขานั่งอยู่ เอามือวางบนมังกรทั้งสองและพูดว่า “ที่แท้ก็เพราะมังกรสองตัวนี้นี่เอง น่าเสียดาย มันไม่ได้แซ่เย่แล้ว ตอนนี้มันใช้แซ่ลู่แทน!มาในถิ่นของฉัน ฉันบอกไปแล้วไง ว่าของทุกๆอย่างเป็นของฉัน”

“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงชอบมังกรสองตัวนี้?เพราะว่าตอนที่ได้นั่งบนโซฟา ได้ใช้สองมือวางบนที่หัวของมังกรนั้น ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นเป็นพระเจ้าไงล่ะ ในมือมีมังกร รู้สึกเหมือนได้โบยบินในท้องฟ้า ฉันรู้สึกเหมือนเป็นพระเจ้าเหนือหลิงหยุนและมังกรของเทพ”

ฟางเหยียนร้องออกมาแล้วถามว่า “พูดแบบนี้คือจะไม่ให้งั้นเหรอ?”

ลู่หงปอยิ้มและพูดว่า “นี่แกพูดไร้สาระเหรอ?ของของฉัน ทำไมฉันต้องให้แกด้วย!”

ทันทีที่เขาพูดจบ คนสี่คนก็เดินออกมาจากมุมทั้งสี่ของห้องโถง คนทั้งสี่แต่งตัวเหมือนทหารในอนาคต ทุกคนสวมชุดเครื่องกล มีเพียงส่ายหัวเท่านั้นที่ถูกเปิดไว้ พวกเขาถือปืนสงครามอยู่ในมือ

ลู่หงปอชี้ไปที่ฟางเหยียนและพูดว่า “ตอนนี้ ทุกอย่างในวิลล่าเป็นของฉัน ฉันมีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่สามารถล็อคเป้าคนและยิงได้ ขอเพียงแค่ฉันสั่ง พวกแกก็จะโดนเสียบทันที!รู้ไหมว่าสี่คนนี้ติดอุปกรณ์อะไรอยู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าขั้นสูงที่นำเข้ามาจากมหาสมุทรและกระสุนทั้งหมดไม่สามารถเจาะทะลุเข้าไปได้ พวกแกคิดว่าหมัดจะหนักกว่ากระสุนงั้นเหรอ?”

“งั้นเหรอ?”ฟางเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา “งั้นพวกเขาก็ต้องมีโอกาสยิงก่อนน่ะสิ จริงไหม?”

#### บทที่ 156 นี่คือราชาที่แท้จริง

ลู่หงปอผงะไปชั่วครู่และถามว่า “แกหมายความว่ายังไง?”

ฟางเหยียนเดินไปด้านหน้าด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ พึมพำว่า “นายไม่ควรย้ายสิ่งของของตระกูลเย่ แล้วยังจะมาทำเป็นของตัวเองอีก วันนี้ฉันจะสอนหลักการของชีวิตบางอย่างให้นาย บางอย่างน่ะเอาไปได้ แต่บางอย่างก็ไม่สามารถเอาไปได้หรอกนะ”

เขาวางโทรศัพท์ลง มองไปที่ฟางเหยียนและถามว่า “แกชื่ออะไร?บอกชื่อมา”

“จอมพลโผ้จวิน!”ฟางเหยียนถ่มคำพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ให้โอกาสลูหงปอได้โทรศัพท์ไป ก็เพื่อที่จะให้เข้าได้แพ้ไปอย่างสุดจิตสุดใจเลยทีเดียว เนื่องจากเขารู้สึกว่าตนเองนั้นมีพลังอำนาจมาก งั้นฟางเหยียนก็จะทำให้เขารู้เองว่าพลังอำนาจที่แท้จริงคืออะไร!

ลู่หงปอนั้นตกตะลึง พูดทางโทรศัพท์ไปว่า “เขาบอกว่าเขาคือนายพลโผ้จวิน!”

ทันใดนั้น อีกด้านของโทรศัพท์ก็ไม่มีเสียงใดๆออกมา ไม่มีแม้แต่เสียงหอบก็ตาม ลู่หงปอเหงื่อไหลเย็นไปทั่วตัว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่วางสาย เขาจึงถามอย่างกังวลใจว่า “พี่ชาย พี่ยังอยู่ที่นั่นไหม?”

สายทางโทรศัพท์พูดกลับมาอย่างไม่แยแสว่า “คราวนี้ฉันคงช่วยอะไรนายไม่ได้ นายต้องจัดการมันด้วยตัวเองนะ!ไม่ว่าเรื่องอะไร นายก็อย่ามาเรียกหาฉันนะ นายอาจจะทำร้ายฉันเข้าให้”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา หัวใจของลู่หงปอก็จมลงสู่ก้นบึ้งในทันที ซวยแล้ว พี่ชายของเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะคนคนนี้ได้

“พี่ ท่าน...” ก่อนที่คำพูดจะจบ ปลายอีกฝั่งก็มีเสียงตู๊ดตู๊ดตู๊ดดังขึ้น และวางสายไป

เย็นเดียวดาย!พี่ชายของเขาปล่อยมือเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้มันจะทำให้หนาวเย็นไปทั่วเสียจริง

เขาวางโทรศัพท์ลง เหงื่อตกจากใบหน้า ใบหน้าอ้วนท้วนสั่นเทา พี่ชายของเขาไม่สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้มีพลังมหาศาล เขาคิดว่าพลังอำนาจของเขาจะท่วมท้นฟ้า ใครจะไปรู้ล่ะว่าพลังอำนาจของชายผู้นี้จะสูงกว่าท้องฟ้าเสียอีก คราวนี้คือฉันเหยียบเข้ากับตะปูอย่างจัง!

“ยังไง?คนที่นายจะเรียกมาน่ะมาไหม?”ฟางเหยียนเห็นลู่หงปอจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถามขึ้นมาอย่างใจเย็น

คำพูดที่บางเบาเช่นนี้ กลับทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งราวกับค้อน เขารีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมามีรอยยิ้มซึ่งมันดูน่าเกลียดกว่าตอนร้องไห้เสียอีก จากนั้นพูดว่า “คือ เมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่นกับเท่านั้น ฉันจะไปอยากได้ของของท่านทำไมล่ะ”

ขี้ขลาด!เขาไม่คิดว่าลู่หงปอจะขี้ขลาดตาขาวเร็วขนาดนี้ นักสู้สี่คนของเขาเองก็ยังไม่ได้ลงมือเลยนะ

เขายืนขึ้น พร้อมกับพูดว่า “พี่ชาย มังกรสองตัวนี่เป็นของท่าน ก่อนหน้านี้ ฉันแค่เก็บรักษาเอาไว้ให้น่ะ ตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว แน่นอนว่าต้องคืนให้กับเจ้าของคนเดิม ตอนนี้ท่านสามารถเอาไปได้เลย ไม่ใช่สิ เดี๋ยวฉันไปส่ง ไปส่งด้วยตัวเองเลย”

เพื่อแสดงความจริงใจ ลู่หงปอผู้ซึ่งไม่เคยออกจากภูเขาแห่งนี้ได้กล่าวว่าเขาต้องการออกมาส่งด้วยตนเองซะนี่

นักสู้ในอนาคตของเขาไม่มีใครเข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาจึงรีบดุว่า “งงอะไร?ไปเตรียมรถสิ!”

หลังจากพูดจบ เขาก็พูดกับผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “พวกเธอก็เหมือนกัน ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้อีก ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง?รีบๆไปเอาเสื้อผ้าฉันมา ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว”

เขายิ้มและพูดกับฟางเหยียนว่า “พี่ พี่ชาย อนาคตขอเพียงพี่เอ่ยปากสั่งมา ฉันก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างแน่นอน”

ฟางเหยียนยกมือขึ้นและตะโกนออกไปว่า “พอแล้ว!”

สองคำนี้ นั้นมีพลังราวกับกำลังของม้านับพันตัว สิ่งนี้ทำให้ห้องโถงสั่นสะเทือน!

แม้แต่ลู่หงปอผู้ซึ่งพูดเก่งและถือว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิมาตลอดก็รู้สึกตกตะลึง และคนอื่นๆทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่ตัวจะสั่นเทา

อะไรที่เรียกว่าพลังอำนาจ นี่ต่างหากล่ะคือพลังอำนาจแบบจักรพรรดิ

คนตรงหน้านี้ต่างหาก คือราชาตัวจริง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ