สองขาของหญิงสาวสั่นเทา เธอเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ฉันฉันฉัน ฉันไปเอง ฉันไปเอง!”
พูดจบเธอก็ทำท่าจะจากไป แต่ฟางเหยียนกลับตะโกนเรียกเอาไว้เสียงเคร่ง "หยุด!"
สองคำ ดูเหมือนเท้าของหญิงสาวจะถูกตอกเอาไว้กับพื้นด้วยตะปูสองอันในทันที สองเท้าของเธอยืนนิ่งอีกครั้ง เธอหันกลับมาอย่างตัวสั่นงกๆเงิ่นๆ แล้วถามด้วยใบหน้าเศร้าๆ “อะ อะ อะไรอีก?”
ฟางเหยียนไม่ได้พูด แต่ทำเพียงแค่จ้องไปที่ดวงตาของหญิงสาว ไม่นานหญิงสาวก็เข้าใจความหมายของดวงตาเขาและรีบเอ่ยว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับฉันนะ เป็นคนที่คุณเพิ่งโยนลงไปเมื่อกี้เป็นคนจัดการ พวกเขาเป็นพี่ใหญ่ของพวกเรา ก่อนหน้านี้เขาคลุกคลีอยู่ข้างนอก แต่ว่าภายหลังดันไปทำให้ลูกพี่ใหญ่คนหนึ่งขุ่นเคืองเข้า ก็เลยถูกไล่ออกมาจากบ้านของลูกพี่ใหญ่ เป็นเพราะเขาไม่มีทักษะอะไร อีกทั้งยังไม่มีเงินทุน ก็เลยได้แต่ต้องเริ่มธุรกิจนั้น แต่ว่าเป็นเพราะฉันอายุมากแล้ว รับแขกไม่ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีนี้เพื่อเลี้ยงชีวิต อันที่จริง อันที่จริง พวกเราก็ไร้ทางเลือก..หากไม่ใช่เพราะเดินมาถึงจุดนี้แล้วจริงๆ ใครกันจะไร้ศีลธรรมได้ขนาดนี้”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้ทุกคนในรถได้ยินอย่างชัดเจน ฟางเหยียนโบกมือและพูดว่า “ไปซะ!”
หญิงสาวพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็รีบวิ่งลงจากรถไป
เพียงพริบตาในรถก็เกิดเป็นความเงียบงัน เงียบสนิทราวกับความตาย ในใจของทุกคนล้วนรู้สึกผิดและอับอาย แต่ไม่มีใครพูดออกมา อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ฟางเหยียนขี้เกียจจะไปสนใจคนพวกนี้ เขากลับไปนั่งในที่นั่งของตนอีกครั้ง
รถขับต่อไป หลังจากเดินทางไปได้ประมาณสิบนาที จู่ๆก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามานั่งข้างฟางเหยียน เด็กสาวคนนี้อายุยังน้อย ราวๆสิบแปดสิบเก้าปี เธอสวมชุดนักเรียนสีแดงและกางเกงยีน หน้าตาไม่ได้สะสวยอะไร แต่ก็ไม่ใช่หญิงสาวที่ดูน่าเกลียด หลังจากนั่งลง ในใจของเธอก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง คิดจะพูดอะไรบางอย่างกับฟางเหยียน แค่ก็ดูลังเลไม่กล้าพูดออกมาอยู่เป็นเวลานาน
หลังจากนั้นอีกห้านาทีต่อมา ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าและพูดกับฟางเหยียนว่า "เฮ้! คุณควรจะระวังหน่อย อันธพาลพวกนี้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่คุณคิด พวกเขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้แน่ ลูกพี่ของพวกเขาแซ่หวาง คนเรียกเขาว่าลูกพี่หวาง เขาเป็นคนมีชื่อเสียงในตำบลจินสุ่ยเจิ้น เขาทำธุรกิจกับคนในต่างประเทศมาไม่น้อย ได้ข่าวว่าเขามักจะไปต่างประเทศเพื่อฆ่าคน”
ฟางเหยียนหันไปมองหญิงสาวแล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “ขอบคุณ!”
หญิงสาวยังคงรอให้ฟางเหยียนเอ่ยพูดต่อ แต่เขากลับไม่มีคำพูดใดอื่นอีก ในทางตรงกันข้าม เขากลับเอนศีรษะพิงเบาะรถและหลับตาลง หญิงสาวยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นฟางเหยียนเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
รถบัสยังคงเดินหน้าต่อไป ตำบลจินสุ่ยเจิ้นตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและมีประเทศเล็กๆ มากมายอยู่ข้างเคียง และเป็นเพราะมันอยู่ในเขตชายแดน ดังนั้นที่ชายแดนแบบนี้จึงวุ่นวายอย่างยิ่ง เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็เป็นแค่เพียงเรื่องเล็กๆบางตอนก็เท่านั้น
รถบัสขับมุ่งหน้าไปตามถนนสายเล็กของตำบลจินสุ่ยเจิ้น เส้นทางขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
ไม่นาน รถบัสก็หยุดลง ผู้คนบนรถบัสก็เริ่มร้องออกมาอย่างไม่สบายใจ
ฟางเหยียนไม่ได้ลืมตาขึ้นมา แต่เขาก็ได้ยินจากสภาพแวดล้อมที่มีเสียงเอะอะดังและรู้ได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง
มีกลุ่มชายฉกรรจ์อยู่ข้างหน้า พวกเขาปิดถนนเอาไว้ ในมือของกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้กำลังถือปืน และยังมีมีด ท่าทางดูน่ากลัวอย่างยิ่ง มีหลายคนที่ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนก็ตกใจกลัวจนแทบร้องไห้
“ทุกคนอย่าตื่นตระหนก พวกเขาเป็นโจรปล้นในบริเวณใกล้ๆนี้ ขอแค่นำเงินออกมาก็ไม่เป็นไรแล้ว พวกเขาจะไม่ทำร้ายชีวิตผู้คน” คนขับเอ่ยตะโกนใส่คนข้างหลัง ถือได้ว่าเป็นการปลอบโยนผู้โดยสารในรถ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ