จอมนักรบทรงเกียรติยศ นิยาย บท 631

สรุปบท บทที่ 631 ศึกครั้งยิ่งใหญ่: จอมนักรบทรงเกียรติยศ

ตอน บทที่ 631 ศึกครั้งยิ่งใหญ่ จาก จอมนักรบทรงเกียรติยศ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 631 ศึกครั้งยิ่งใหญ่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายใช้ชีวิต จอมนักรบทรงเกียรติยศ ที่เขียนโดย โซ่วปี่หนานซาน เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ฟางจินหยวนหัวเราะในลำคอ ก้าวเท้าไปข้างหน้า ท่าทางไม่สนใจความเป็นความตาย ขวังซือที่อยู่ด้านหลังของเขาก็สาวเท้ามาสองก้าวตามเขาเช่นเดียวกัน ร่างกายอันมหึมากำบังเขาไว้ ปากพลางเปล่งเสียงคำรามเบาๆ เขายิ้มขึ้นเจือจาง เอ่ยว่า “ผมก็อยู่ตรงนี้ หากท่านไม่เชื่อก็เอาชีวิตน้อยๆ ของผมไปได้ทุกเมื่อเลย ถ้าผมฟางจินหยวนกะพริบตาแม้แต่นิดเดียว เช่นนั้นผมก็ไม่ใช่คน!”

“หน้าไม่อาย!” หญิงหน้ากากพยัคฆ์ที่เจอเรื่องอันใดก็สงบนิ่ง ไม่สะทกสะท้าน ก็ยังต้องแอบด่าอยู่เงียบๆ เนื่องจากใบหน้าอันเย็นชาอวดดีของฟางจินหยวนนี้ นี่น่ะหรือน้ำเสียงที่ผู้นำแห่งตระกูลฟางพึงมี?

ฟางจินหยวนกลับมิได้สนใจ เอ่ยต่อว่า “ท่าน ไม่ใช่ว่าผมกลัวตายนะ แต่เป็นเพราะว่าท่านมาผิดที่แล้ว พวกเราสองคนสู้กันเหมือนนกกระยางสู้กับหอยกาบ ทว่าฟางเหยียนนั่งรับผลประโยชน์ แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง!”

“นกกระยางสู้กับหอยกาบ ชาวประมงได้ประโยชน์งั้นเหรอ?” หญิงหน้ากากพยัคฆ์เอ่ยขึ้นด้วยความดูหมิ่น เอ่ยว่า “กะอีแค่ตระกูลฟางอย่างพวกแกก็กล้าหยิบยกมาเปรียบเทียบต่อหน้าฉันงั้นเหรอ? พอได้แล้ว ถึงเวลาแล้ว ต่อไปจะเป็นการทำลายศรัทธาที่พวกแกภาคภูมิใจแล้ว!”

เมื่อสิ้นเสียงของหญิงสาว ทุกคนจึงเรียกสติกลับคืนมาได้ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ทั้งรอบด้านมืดมิดลงโดยสมบูรณ์ ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลายามเช้า ทว่าท้องฟ้ากลับมืดมิดราวกับเวลากลางคืน ช่างพิลึกไร้คำอธิบายเสียจริง

การที่ท้องฟ้ามืดมิดนั้นมิใช่การเริ่มต้นและมิใช่การสิ้นสุด ครั้นตำแหน่งที่นักเบญจธาตุยืนอยู่นั้น กลับมีแสงสีทอง สีเขียว สีฟ้า สีแดง สีน้ำตาลสว่างขึ้นมา และทั้งห้าสีนั้นก็ไหลจากจุดที่ตัวเองอยู่มารวมกัน ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงเปล่งประกายสีสันทั้งห้าสี

สีทั้งห้ารวมอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นการรวบรวมทักษะวรยุทธเฟิงหัวอันแข็งแกร่งที่สุด

ครั้นบัดนี้ เฟิงหัวกำลังก่อตัวเป็นรูปร่าง!

ฟางจินหยวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ช่างเป็นความเคร่งขรึมที่ไม่เคยมีมาก่อน ในขณะเดียวกันเขามองไปยังขวังซือ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “ลงมือเถอะ!”

ขวังซือร้องคำรามขึ้น น้ำเสียงดังสะท้านโลกา ราวกับมาจากวิญญาณร้ายแห่งขุมอเวจีอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้ที่ได้ยินขนหัวลุกซู่ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ในที่สุด จะต้องเผชิญหน้ากันแล้วเช่นนั้นหรือ?

นี่คือความคิดในใจส่วนมากของคนตระกูลฟาง

ขวังซือแข็งแกร่งมาก ทว่าพวกเขายังมิเคยได้ประลองกันซึ่งๆ หน้าจริงๆ สักครั้ง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวล้วนจะปรากฏตัวด้วยท่าทางที่มีแนวโน้มว่าจำต้องโค่นล้มศัตรูได้ต่อหน้าผู้คนเสมอ ไม่มีความตื่นเต้นเลยสักนิด ทว่าความสามารถของนักเบญจธาตุที่แสดงออกมาอยู่เบื้องหน้านั้นกลับทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นภายในใจเล็กน้อย แน่นอนว่าพวกเขาอยากจะประจักษ์มากกว่าว่าขวังซือเก่งกาจหรือนักเบญจธาตุที่มีพลังสะท้านพิภพจนผู้คนต้องหวาดกลัวนั้นเก่งกาจกว่า

เมื่อเฟิงหัวปรากฏ ทุกสรรพสิ่งสงบนิ่ง!

คำพูดนี้มิใช่คำพูดตลกแต่อย่างใด

จากนั้นทั้งห้าคนก็ได้ตะโกนเสียงดังพร้อมกัน “ฉันขอใช้ตัวเองสังเวย สังเวยด้วยทุกสรรพสิ่งของเฟิงหัว! เมื่อเฟิงหัวปรากฏ ทุกสรรพสิ่งสงบนิ่ง

ร่วมเป็นร่วมตาย เฟิงหัวจงบังเกิด!”

สิ้นเสียง สีทั้งห้าก็รวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นแสงส่องสว่างคล้ายดวงดาวดวงหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เวลานี้รอบสี่ทิศที่เดิมมืดมิดอยู่นั้นก็กลายเป็นมีสีสันสดใสขึ้นมา ตามมาด้วยลมพัดโหมกระหน่ำ ทรายและดินลอยฟุ้ง พร้อมทั้งเสียงฟ้าผ่าอันน่ากลัวที่ไม่ได้พบบ่อยครั้งนัก

ช่างน่ากลัวเสียจริง!

ชายฉกรรจ์แห่งตระกูลฟางเห็นภาพนี้แล้ว ภายในใจก็ตกตะลึงทันที!

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

คาดไม่ถึงว่าเฟิงหัวจะสมคำร่ำลือเสียจริง พละกำลังที่สะท้านฟ้าดินนี้ สามารถทำลายตระกูลฟางทั้งหมดได้!

และในเวลานี้นั้น รอบๆ บริเวณเรือนตระกูลฟางห่างไปสิบกว่าลี้นั้นก็มีเสียงของฟ้าร้องดังขึ้นมาเช่นกัน ท้องนภาถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด มีชาวบ้านละแวกนั้นไม่น้อยคนที่จ้องมองมายังทิศทางเรือนตระกูลฟางด้วยสายตาเหลือเชื่อ ตกตะลึงจนสุดขีด

คนงานสองสามคนที่อยู่ไม่ไกลนั้นมองเห็นความผิดปกติของทางเรือนตระกูลฟาง จึงกลายมาเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาหลังมื้ออาหารทันที

“ครั้งที่แล้วตระกูลฟางมีเรื่องที่ว่ามังกรตัวจริงปรากฏขึ้นมา ใครมันบอกว่าเป็นเรื่องไม่จริง? ถ้าไม่ใช่เพราะมีมังกร ตอนนี้จะมีวิบัติแบบนี้ขึ้นได้ยังไง?”

อีกทั้งหลังจากเสียงตะโกนของหญิงหน้ากากพยัคฆ์จบลง ทำให้ความมั่นใจของคนทั้งตระกูลฟางปะทุขึ้นมาทันทีทันใด

ตะโกนทำไม!

การที่เตือนเช่นนั้นก็แสดงว่าเธอเกรงกลัวเข้าแล้ว!

พูดง่ายๆ ก็คือ นั่นหมายความว่าขวังซือสามารถจัดการกับนักเบญจธาตุได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังทำลายล้าง

ผู้คนตระกูลฟางมีขวัญกำลังใจเพิ่มพูนขึ้น ความหวาดกลัวบนใบหน้าของทุกคนสลายหายไปภายในพริบตา แทนที่ด้วยความภาคภูมิใจที่จะได้ชมเรื่องสนุก แม้แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของฟางจินหยวนเองก็ได้รับความผ่อนคลายและความสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

ตระกูลฟางมีขวังซือ จำต้องสามารถมีชื่อเสียงเลื่องลือไปเป็นร้อยปี อยู่คู่พิภพตลอดไป!

คำชื่นชมนี้ไม่ได้ชมเกินไปแต่อย่างใด ในทางกลับกันยังมีการถ่อมตนด้วย

ความเป็นจริงเป็นอย่างที่ผู้คนตระกูลฟางสัมผัสได้ ขวังซือในบัดนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แกร่งจนทำให้พวกเขานับถือและศรัทธาเพิ่มมากขึ้นอีก

ความสามารถคือทศพิธราชธรรมเพียงหนึ่งเดียว!

ยิ่งขวังซือแข็งแกร่งมากเท่าไร ถึงจะเป็นการรับประกันให้ตระกูลฟางอย่างดีที่สุด!

พละกำลังพุ่งลงมา ขวังซือแนบกายเข้าไปอยู่ในค่ายกลเบญจธาตุ!

เวลานี้ ทั้งตระกูลฟางใจเต้นระรัวอย่างรวดเร็วตามขวังซือ เห็นได้ชัดว่า การกระทำทุกประการของขวังซือ ทำให้คนทั้งตระกูลฟางต้องตกตะลึง ประหลาดใจอย่างถึงที่สุด ในใจของทุกคนล้วนมีความคิดหนึ่ง นั่นคือเจ้าหมอนี่เข้าไปได้อย่างไร?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ