“ถ้าฟางเหยียนพูดคำนี้ ฉันจะต้องตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สำหรับคุณ...หึหึ ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเลยว่าตัวเองเป็นใคร กล้าจะมาเลี้ยงฉัน คุณอยากให้ฉันขำตายเลยหรือไง?”
กลัวที่สุดก็คืออยู่ๆ อากาศก็เงียบสงัด!
ไร้ปรานี! เย็นชา!
ราวกับกำลังเอ่ยเรื่องที่ควรค่าสำหรับการพูดถึงอยู่ ทว่าช่วงที่หันหน้ามานั้น ก็คืนรอยยิ้มแต่เดิมคืน ตั้งใจคีบอาหารให้ฟางเหยียนต่อ ฝ่ายนั้นมีความรำคาญเล็กน้อยแล้ว
ปฏิเสธไปครั้งแล้วครั้งเล่า เจิ้งชงโมโหจนถึงที่สุด!
เขาพบแล้วว่า เวินหลานจงใจที่จะมาก็เพราะฟางเหยียน และเช่นนี้ทั้งไม่ผิดเจตจำนงของสัญญา เธอทั้งสามารถเอาใจฟางเหยียน อยู่ใกล้ชิดกับฟางเหยียนได้ด้วย ทันใดนั้นเขาก็มีความผลีผลามที่ราวกับจะวอนหาเรื่องเข้าตัว!
เจิ้งชงถูกผู้อื่นดูถูกอีกครั้ง!
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย เจิ้งชงที่โมโหหน้าแดงถูงหลิวเจี๋ยลากมานั่งอยู่บนที่นั่ง เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “คุณชายเจิ้ง คุณนี่เลอะเลือนจริงๆ นะ ผมไม่ได้ให้คำแนะนำคุณแบบนี้นะ ถ้าจะเรียกร้องความสนใจจากฟางฟัง ก็ไม่เห็นต้องพูดว่าจะรับเลี้ยงเวินหลานเลยนี่ แต่ว่าต้องใช้ความรักใคร่ที่คุณมีต่อเวินหลานมาทำให้ฟางฟังรับรู้ถึงภัยอันตราย คุณไปพูดว่าจะเลี้ยงเขาแบบนั้นได้ยังไง ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่ใจแคบ คุณทำแบบนี้เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ ”
เจิ้งชงใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น เมื่อนึกดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา หลังจากที่ได้เจอกับฟางเหยียนแล้ว ตนเองก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ตลอด เมื่อเทียบกันดูแล้วตนเองกลับถูกตำหนิจนราบคาบ ทุกครั้งที่เจรจา ตนเองล้วนถูกกดขี่เอาไว้อย่างแรง ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเคยได้รับความฉุนเฉียวนี้เมื่อใดกัน?
อีกทั้งเขาจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลิวเจี๋ยได้อย่างไร ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทิ้งภาพลักษณ์ที่ไม่ได้ต่อหน้าฟางฟัง แม่แต่เวินหลาน ผู้หญิงคนนี้ก็ยังพูดจาทำให้เขาดูต่ำต้อยหลายครั้งด้วยเช่นกัน ช่างเป็นการลงโทษที่ผลีผลามเสียจริง
บรรยากาศค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงสองคนที่นั่งรับประทานอาหารไปราวกับไม่มีคนอยู่ข้างๆ ราวกับเรื่องทุกอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา สองคนนี้ก็คือฟางเหยียนและเวินหลาน คนอื่นๆ มองดูแล้ว ก็ราวกับทั้งสองเป็นคู่รักที่รักกันมากอย่างไรอย่างนั้น หวานหยาดเยิ้มจนทำให้คนอื่นกระวนกระวาย ส่วนฟางฟังก็อึ้งไปชั่วครู่ เข้าไปนั่งใกล้เวินหลานเล็กน้อย จากนั้นก็ถามคำถามต่างๆ ส่วนเวินหลานนั้นก็ถามคำตอบคำ
หกคนที่เหลือใบหน้าดูไม่ได้จนถึงที่สุด
มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ดีมาก ขอแค่คุณไม่รู้สึกว่าพะอืดพะอม ผู้ที่พะอืดพะอมนั้นก็จะเป็นคนอื่น
สามคนนั้นราวกับเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก คึกคักกันเป็นพิเศษ แถมยังมีเสียงหัวเราะร่าเริงดังขึ้นเป็นระยะๆ อีกด้วย แบ่งแยกหกคนที่เหลือทิ้งไปทันที
โจวซานเกาศีรษะด้วยความทำตัวไม่ถูก “คุณชายเจิ้งเรากินกันต่อเถอะ จริงสิ คุณชายเจิ้งยังจำรถเก๋งธงแดงคันนั้นที่อยู่ศูนย์การค้านานาชาติหวนไท่เมื่อตอนบ่ายวันนี้ได้ไหม? ได้ยินคนอื่นพูดว่าก็อยู่โรงแรมนี้เหมือนกันนะ? จริงสิ คนที่โรงแรมบอกว่าเจ้าของรถเก๋งธงแดงคันนี้กำลังหาใครอยู่สักอย่างนี่แหละ คงไม่ใช่ว่ามาหาคุณหรอกนะ?”
เจิ้งชงที่อารมณ์ขุ่นมัว เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ก็ตาสว่างวาบขึ้นมา เกิดความสนใจขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่า เจ้าหัวไวโจวซานคนนี้กำลังสร้างโอกาสให้เขาแสดงผลงานอยู่แท้ๆ โดยเฉพาะสามคนที่กำลังก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอยู่ หยุดชะงักแล้วมองหน้าเจิ้งชงทันที สิ่งนี้ทำให้เขารับรู้ได้แล้วว่าโอกาสมาถึงแล้ว
ถูกต้อง!
เขาจะเสแสร้งอีกแล้ว!
“แค่กแค่กแค่ก...” เจิ้งชงไอสองสามครั้ง ทำสายตาส่งสัญญาณให้โจวซานให้ความร่วมมือ โจวซานกลับมีความเฉลียวฉลาดมาก เข้าใจทันทีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงได้เอ่ยขึ้นมา “คุณชายเจิ้ง นี่มีอะไรพูดไม่ได้กัน รถเก๋งธงแดงคันนั้นยังมีป้ายทะเบียนรถเบอร์หนึ่งอีกด้วย ตำแหน่งของเจ้าของรถไม่ธรรมดา หรือว่า...”
สีหน้าของโจวซานแสดงออกเกินจริงอย่างถึงที่สุด พออ้าปากออกมาก็สามารถยัดไข่ไก่ลงไปได้ เขาเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “หรือว่าเจ้าของรถคันนั้นจะสนิทสนมกับคุณชายเจิ้ง?”
หลิวเจี๋ยจ้องมองสองคนที่เสริมทัพเข้ากันดีด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด สีหน้ามีความดูไม่จืด
“สนิทสนม?” เจิ้งชงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก “ฉันก็ไม่กลัวหรอกนะที่จะบอกพวกนายน่ะ เจ้าของรถธงแดงคันนั้นคือพ่อบุญธรรมที่พ่อของฉันหาให้ฉันในช่วงนี้น่ะ อีกทั้งคืนนี้เขายังตั้งใจมา ก็เพื่อมารับลูกบุญธรรมอย่างฉันนี่แหละ!”
คุยโวโอ้อวด อย่างไรเสียก็ไม่คิดภาษี อีกอย่างพ่อของเขาก็ตามหาพ่อบุญธรรมให้เขาจริงๆ นั่นเป็นถึงข้าราชการสูงที่ออกมาจากกองทัพเชียว แม้จะเทียบกับเจ้าของรถเก๋งธงแดงที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะให้ตนเองคุยโว!
“พรวด...”
ฟางเหยียนอดไม่ได้ พ่นข้าวออกมา!
เวินหลานเช็ดให้เขาจนสะอาดอย่างใส่ใจ ส่วนฟางฟังมองหน้าฟางเหยียนพร้อมด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
เจิ้งชนปลื้มใจเกิดคาด ตามที่เขามอง โอกาสในการโชว์ออฟสำเร็จแล้ว ฟางฟังหลงกลแล้ว “ฟางฟัง ตื่นเต้นก็ถูกอยู่หรอก แต่ว่าเธอไม่ต้องแสดงออกมาหรอกนะ ไม่งั้นเดี๋ยวคนเขาหาว่าฉันอวดเบ่ง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้อื่นได้!”
หลิวเจี๋ยวที่ไม่ได้เอ่ยอันใดตลอดราวกับสัมผัสลางสังหรณ์อะไรบางอย่างได้ ทว่าไม่กล้าเชื่อ กลับกลายเป็นเวินหลานที่สีหน้าคับแค้นใจขึ้นมา ท่าทางนั้นราวกับกำลังบอกว่า: นายชั่วขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน
“อวดเบ่ง? ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้อื่น?” ฟางฟังหัวเราะหึหึ “พี่เหยียน มีคนอยากจะอาศัยบารมีของคนอื่นมาอวดเบ่ง?”
ฟางเหยียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เธอคิดว่าควรทำยังไงดี?”
ฟางฟังเงยหน้าขึ้นมา พร้อมครุ่นคิดอย่างหนัก เจิ้งชงขมวดคิ้วขึ้นมา ราวกับรับรู้อะไรบางอย่างได้ โดยเฉพาะการที่ฟางฟังและฟางเหยียนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้เขาขาดความมั่นใจขึ้นมา และคิดไปถึงเรื่องหนึ่งตามสันชาตญาณ “หรือว่าจะถูกฉีกหน้าอีกแล้วเหรอ?”
ไม่!
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
ต่อให้ตระกูลของฟางฟังจะมีตำแหน่งที่ใหญ่โต ร่ำรวยเงินทอง แต่จะรู้จักคนใหญ่คนโตเช่นท่านนั้นได้อย่างไร? คนใหญ่คนโตผู้นั้นเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทางที่จะไปคบค้ากับตระกูลฟางอย่าโอ่อ่าได้แน่นอน สำหรับฟางเหยียนชายธรรมดาคนนั้นยิ่งไม่มีทางรู้จักคนใหญ่คนโตเช่นนั้นได้ คนเช่นนั้นจะมารู้จักกับฟางเหยียนคนธรรมดาคนนี้ได้อย่างไร? เช่นนั้นมันเป็นการลดคุณค่าของตนเองลงไม่ใช่หรือ?
ทว่า ตามที่เขาเข้าใจฟางฟัง เธอไม่ชอบการโกหก แล้วตรงไหนกันแน่ที่ผิดไปนะ?
“โธ่เอ๊ย คิดยากจริงๆ พี่เหยียนพี่ลองคิดหาวิธีทำดูก็แล้วกัน” ฟางฟังปวดหัวขึ้นมายกใหญ่ ส่ายหัวอย่างแรง และโยนไปให้ฟางเหยียนแทน
ทุกคนล้วนสัมผัสไม่ได้ ว่าหลังจากที่ฟางฟังพูดจบแล้ว บนใบหน้าของเจิ้งชงก็มีความผ่อนคลายขึ้นมาทันที ตามที่เขาคิด ฟางฟังและฟางเหยียนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้เพียงแค่ต้องการเหยียบย่ำเขา มิใช่ว่าต้องการเปิดโปงเขา
ขณะที่เขาต้องการที่จะเอ่ยขึ้นนั้น ฟางเหยียนก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันอิ่มแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะส่งเธอกลับมหาลัย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ