“เกิดเรื่องแล้วงั้นหรือ?” หลินถงอึ้งกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ก็พบว่าปู่จางได้รีบออกไปแล้วอย่างรวดเร็ว
“ฟางเหยียน” หลินถงเหมือนจะคิดอะไรออก แล้วก็พูดอย่างตกใจว่า “คุณย่า!”
ฟางเหยียนก็ยังคงมีสีหน้านิ่งแบบเดิม แล้วก็ก้าวขายาวเดินออกไป พอนึกถึงว่าจะเกิดเรื่องกับย่า หลินถงก็ทนไม่ได้ และรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
ตาแก่จางจัดแจงให้ทั้งสองคนมาอยู่ท้ายหมู่บ้าน ไม่ไกลจากบ้านของเขา หลังจากนั้นสามนาที ก็กลับมายังหน้าบ้านตัวเอง
พอเห็นสภาพบ้านเละเทะ ตาแก่จางก็โกรธจนตาถลนออกมา ร้องไห้ตะโกนว่า “มัน ต้องเป็นพวกมันแน่!”
บ้านนี้ได้ถูกเผาจนเกลี้ยง เหลือเพียงเถ้าถ่าน เห็นได้ชัดว่า บ้านที่ตาแก่จางอยู่อาศัยมาเป็นสิบปี ได้ถูกเผาไปจนเกลี้ยงแล้ว!
“ห้ะ!” หลินถงรีบตามมา แล้วก็ส่งเสียงตกใจออกมา พร้อมกับมองไปยังตาแก่จาง “ปู่จางคะ.........”
ฟางเหยียนก็ส่ายหัวเบาๆ ส่งสายตาบอกให้เธอไม่ต้องพูดแล้ว แล้วเหลือบไปเห็นตัวหนังสือที่อยู่ข้างขี้เถ้า แล้วก็ชี้ไปยังตัวหนังสือที่ทิ้งไว้หน้าบ้าน หลินถงก็รู้ แล้วเดินไปยังตัวหนังสือพวกนั้น
แล้วหลินถงก็อ่านออกมา “ถ้าอยากจะช่วยมัน ก็มาที่สำนักไร้หน้า!”
“หรือว่าพวกนั้นจะรู้ว่าปู่ไว้หน้าไม่ได้ฆ่าพวกเรา? ดังนั้นก็เลยจับตัวย่าไป? แล้วเผาบ้านพวกเขา เพื่อเป็นการลงโทษปู่จางงั้นหรือ?”
ฟางเหยียนก็ตาร้อนเป็นไฟ พูดนิ่งๆ ว่า “ผมจะไปถามมันดู”
ตาแก่จางก็หยุดร้องไห้ ใบหน้าแก่ๆ ที่เหี่ยวย่น ยังคงมีคราบน้ำตา พอเงยหน้ามองไปที่เขาด้านหลัง ดวงตาที่ขุ่นมัวก็เต็มไปด้วยรังสีการฆ่า
พอเห็นตาแก่จางเดินกระทืบเท้าอย่างแรงไปหลังเขาด้วยความแค้น หลินถงก็อยากช่วยอะไรบ้าง เพราะถึงอย่างไรกระท่อมหลังนี้ เธอก็มีความผูกพันกับมันไม่น้อย ถึงแม้ที่นี่จะเป็นสถานที่ของสำนักไร้หน้าเหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้ว ปู่จางกับย่าก็ดีกับเธอมาก
ฟางเหยียนกลับอยู่ในความครุ่นคิด จากคำพูดของตาแก่จาง ก็ฟังออกได้ไม่ยาก ต้องเป็นพวกมันแน่ และบวกกับที่ตาแก่จางบอกกับตัวว่า “พวกมัน” จะต้องหมายถึงเจ้าตค้างมีดแน่ๆ แต่นี่มันขัดแย้งกัน ตาแก่นี่ให้เขารู้สึกว่า ไม่ใช่คนที่ฆ่าคนเป็นผักปลา หรือว่าสำนักกุ่ยกู๋ยังมีด้านที่คนอื่นยังไม่รู้อีกงั้นหรือ?
พอวางความสงสัยในใจลง ฟางเหยียนก็มองไปยังสภาพบ้านที่ถูกเผา แล้วก็รีบเดินตามไป
ต้องบอกว่า ตาแก่จางที่อายุ80กว่าแล้ว เดินทางในป่าได้เร็วอย่างกับบินได้ ร่างกายแข็งแรงไม่แพ้คนหนุ่ม กลับกัน หลินถงเดินทางได้ลำบากมาก เหมือนกับถูกดูดพลังงานไปเสียอย่างนั้น เดี๋ยวๆ ก็หมดแรงเดินไม่ไหว
“ฟางเหยียน พวกคุณไม่เหนื่อยบ้างหรือไง?”
ฟางเหยียนสีหน้าสบาย พูดนิ่งๆ ว่า “ตามที่ผมรู้มา คุณก็เป็นนินจาคนหนึ่งเหมือนกันนะ สำนักไร้หน้ายอมเสียเงินมากมายเพื่อฝึกฝนคุณ จะมีระดับใกล้เคียงระดับต้าชี่ เส้นทางบนเขาแค่นี้คุณเดินไม่ไหวแล้วหรือ?”
“เป็นไปได้อย่างเดียว คุณกลัวที่จะกลับไปสำนักไร้หน้า ที่นั่นเป็นฝันร้ายของคุณ ต่อให้สำนักไร้หน้าถูกทำลายไปแล้ว ความเจ็บปวดในใจคุณ มันไม่มีทางลบออกไปได้ตลอดชีวิต”
ถูกมองทะลุจิตใจ หลินถงก็แกล้งเหนื่อยอีกต่อไป ขมวดคิ้ว สีหน้าเผยความกังวลออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“คุณนี่ก็ไม่สนุกเอาเสียเลย ทุกคนอยู่ต่อหน้าคุณก็ถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง วิเคราะห์จุดอ่อนของคุณอื่นได้หมด เป็นเรื่องที่คุณชอบทำมากหรือไง? ไอคิวสูงแต่อีคิวต่ำ”
ฟางเหยียนก็ไม่สนใจการบ่นของหลินถง แล้วพูดไปนิ่งๆ ว่า “ต่อหน้าฝันร้าย มีแต่ต้องเผชิญกับมัน เอาชนะมัน ถ้าไม่ไหวก็ทลายมันทิ้งเสีย!”
หลินถงกลับพบว่า บางครั้งฟางเหยียนไม่พูดจาอะไร แต่พอพูดออกมาก็มีเหตุผลมาก
คำพูดที่องอาจนี้ บางทีคงจะมีแต่ฟางเหยียนเท่านั้นที่พูดออกมาได้
ฝันร้ายใครๆ ก็มี แต่คนทั่วไปเกรงว่าจะหมกมุ่นอยู่แต่ในนั้น กลายเป็นฝันร้ายที่ลืมไม่ลง แต่ฟางเหยียนไม่เหมือนกัน สภาพแวดล้อมที่เติบโตมา ได้หล่อหลอมให้เขามีจิตใจที่ไม่หวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้
“พอแล้วล่ะ ฉันจะพยายามสู้กับมัน และเอาชนะมัน โอเคไหม?” หลินถงบึนปาก แต่ในใจกลับดีใจมาก ฟางเหยียนกำลังเป็นห่วงเธอ เธอรู้สึกได้
หลังจากคุยจบ ทั้งสามคนก็เร่งฝีเท้าเร็วที่สุด ถ้าตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะก็ จะต้องตกใจจนไม่เชื่อสายตาตนเองแน่ สามคนนี้ “บิน” ได้!ต่อให้เป็นเส้นทางบนภูเขาที่มีสิ่งกีดขวาง หรือว่าจะเป็นหน้าผา ต่อหน้าพวกเขาทั้งสามคน ก็เหมือนเป็นพื้นราบเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ