เทียนขุยเอ่ยพูดด้วยสีหน้าโมโห : “แกจงใจนำทางมั่ว ๆ ใช่ไหม? ทำไมเดินตั้งนานแล้วยังไม่ถึงสักที?”
จริงด้วย ตั้งแต่คนเฝ้าประตูนำทางพวกเขา พวกเขายิ่งรีบเดินทาง ก็เหมือนจงใจพาเลี่ยงทางหลัก ส่วนคำอธิบายของคนเฝ้าประตูก็คือ ทางนี้เป็นทางลัด สามารถเดินทางถึงสำนักฉิวหลงได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นทางขรุขระ อีกทั้งมีหญ้าขึ้นรก มองทางได้ยากมากจริง ๆ
ทั้งที่เห็นปลายทางอยู่ชัด ๆ แต่กลับใช้เวลานานกว่าจะไปถึง
ฟางเหยียนยังคงสงบนิ่งเหมือนที่ผ่านมา เอ่ยพูดด้วยเสียงราบเรียบ : “ที่นี่เหมาะจะซุ่มโจมตีได้เป็นอย่างดี”
คนเฝ้าประตูมองไปที่ฟางเหยียนอย่างขี้ขลาด แล้วเอ่ยพูด : “อีกครึ่งทาง ก็จะเห็นสำนักฉิวหลงแล้วครับ”
ทั้งสามคนเดินทางกันต่อ
เมื่อใกล้ถึงครึ่งทาง ก็มองเห็นสำนักฉิวหลงจริง ๆ
ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไป จู่ ๆ ฟางเหยียนก็ได้ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้พวกเขาหยุดเดิน ทั้งสองคนไม่เข้าใจ เทียนขุยกำลังจะเอ่ยถาม ฟางเหยียนกลับเอ่ยปากก่อนว่า : “ด้านหน้ามีเสียงผู้หญิงร้องไห้”
“ทำไมถึงได้เป็นหล่อน!” คนเฝ้าประตูร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่เมื่อมองเห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน ก็ยิ่งร้องโวยวายออกมา เสียงร้องครั้งนี้ดังขึ้นกว่าครั้งก่อน “ทำไมถึงเป็นเขา!”
เดี๋ยวเป็นหล่อนเดี๋ยวเป็นเขา ทำเอาคนฟังงุนงงไปหมด เห็นได้ชัดว่า เสียงร้องครั้งที่สอง ฟังดูมีความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เหมือนเห็นผีไม่มีผิด
เทียนขุยเอ่ยถาม : “คนคนนั้นเป็นใครกันแน่?”
“เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสใหญ่หลินชื่อ ชื่อหลินเทียน!” น้ำเสียงของคนเฝ้าประตูฟังดูสั่นเครือ ไม่กล้าหันไปมองเลยแม้แต่น้อย เอ่ยพูดด้วยท่าทางก้มหน้า
เทียนขุยถามอีกว่า : “แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครอีก?”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นสาวรับใช้ประจำตัวของนายน้อยชื่อเสี่ยวหยู่......” คนเฝ้าประตูพูดถึงตรงนี้ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ดูท่าทางหล่อนเองก็คงหนีเคราะห์กรรมนี้ไปไม่พ้น!”
“อย่าพูดพล่ามอยู่ อ้อมค้อมทำซากอะไร จะให้ฉันหมดความอดทนหรือไง?”
คนเฝ้าประตูยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน : “คืออย่างนี้ครับ ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าผมถูกผู้อาวุโสใหญ่ข่มขู่? ตอนนั้นไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นผู้อาวุโสใหญ่สมคบคิดกับคนนอกเพื่อทำให้สำนักฉิวหลงแตกแยก นอกจากผมแล้วก็มีเสี่ยวหยู่ที่ตื่นมากลางดึกอีกด้วย และตอนนี้เสี่ยวหยู่ก็ถูกพวกมันฆ่าปิดปากเหมือนกัน ดูท่าทางพวกมันคงได้ครอบครองสำนักฉิวหลงแล้วล่ะ”
ฟางเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่ตัวเองช่วยชีวิตคนเฝ้าประตูเอาไว้ เขาก็เพิ่งพบว่าข้อมูลที่เทียนขุยไปสืบมาดูเหมือนจะมีความผิดพลาด สำนักฉิวหลงไม่ได้กลายเป็นหมารับใช้ของเพลิงเสวน เป็นเพียงแค่ตัวปัญหาบางตัวทำลายทั้งสำนักฉิวหลง และตัวปัญหาตัวนี้ก็คือผู้อาวุโสใหญ่หลินชื่อแห่งสำนักฉิวหลงนั่นเอง
ฆ่าปิดปากคนเฝ้าประตูก่อน จากนั้นก็ฆ่าปิดปากสาวรับใช้ประจำตัวของซ่งหยิง หากเป็นจริงอย่างที่คนเฝ้าประตูพูด เมื่อกำจัดภัยคุกคามพวกนี้แล้ว ต่อไป หลินชื่อคงควบคุมสำนักฉิวหลง ต้องพูดเลยว่า หลินชื่อเป็นคนที่ทำการใหญ่จริง ๆ
เพราะคิดทำการใหญ่ จำเป็นต้องใจเด็ดลงมือโหดเหี้ยม จะมีเมตตากรุณาไม่ได้เด็ดขาด!
เทียนขุยเอ่ยถาม : “จอมพลโผ้จวิน จะช่วยหรือไม่ช่วยครับ?”
แต่ไหนแต่ไรมาฟางเหยียนไม่ใช่ฮีโร่ช่วยชีวิตใคร เขาไม่คิดจะช่วยชีวิตเสี่ยวหยู่เลย แต่ได้ยินเสียงเสี่ยวหยู่ตะโกนจนเสียงแหบแห้ง เกี่ยวกับเรื่องซ่งหยิง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ปล่อยฉันไปเถอะนะได้ไหม? เจ้าสำนักซ่งหยิงถูกพวกพี่ควบคุมไว้แล้ว ส่วนครอบครัวรองเจ้าสำนักซ่งอู่ฮุยก็กลายเป็นนักโทษของพวกพี่ไปแล้ว ฉันไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกพี่จริง ๆ พวกพี่ไว้ชีวิตฉันเถอะนะได้ไหม? ฉันยอมเป็นพวกเดียวกับพี่ ยอมเป็นพวกเดียวกัน”
ปึก!
หลินเทียนถีบเสี่ยวหยู่ที่คุกเข่าขอร้องอยู่บนพื้นจนล้มลง เอ่ยพูดอย่างไม่หวั่นไหวเลยสักนิด : “สาวใช้ชั่วเสี่ยวหยู่ ความผิดที่ทำลงไปในวันนี้ คิดจะวางยาพิษฆ่าเจ้าสำนัก ทำให้ตอนนี้เจ้าสำนักหมดสติไม่รู้สึกตัว จากการสารภาพของเสี่ยวหยู่ เธอเป็นตัวอันตรายที่ช่วยซ่งอู่ฮุยก่อความวุ่นวาย คิดลอบฆ่าเจ้าสำนัก แย่งชิงตำแหน่งและอำนาจ วันนี้ถูกพวกเราจับได้ ตามคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ ตัดสินใจประหารชีวิตเสี่ยวหยู่”
คำพูดที่ฟังดูดีแต่จริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น แค่หลอกลวงเท่านั้นเอง ที่พูดว่าตัดสินโทษเสี่ยวหยู่ ที่จริงเพื่อข่มขู่คนที่อยู่ด้านหลังหลินเทียนให้เกรงกลัว ทำให้พวกเขาได้รู้ว่า ใครใหญ่ที่สุด
ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าเรื่องนี้เป็นมายังไง แต่ที่ไม่กล้าสงสัยไม่กล้าเอ่ยพูดอะไร เพราะยังไงหลินเทียนสองพ่อลูกนี่ก็ควบคุมสำนักฉิวหลงไว้แล้ว เมื่อน้ำขึ้นเรือก็ย่อมสูงขึ้น ความมั่นคงไม่อาจถูกทำลายได้ และสิ่งที่พวกเขาทำดูเหมือนแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน แต่ความเป็นจริงกลับเป็นไฟหย่อมหนึ่ง ที่เผาทำลายศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของพวกเขา
หากไม่เชื่อฟังคำสั่ง มีแต่ตายสถานเดียว!
เสี่ยวหยู่ลุกขึ้นมา คุกเข่าต่อหน้าหลินเทียน ขอร้องอ้อนวอน : “ไม่นะ ศิษย์พี่ใหญ่ ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น จริง ๆ นะ ไว้ชีวิตฉันเถอะนะ ฉันยอมแลกกับทุกอย่าง รวมถึงร่างกายของฉันด้วย!”
หลินเทียนเหยียบไปที่หัวของเสี่ยวหยู แล้วนั่งยอง มองต่ำเอ่ยพูดด้วยเสียงเบา : “จะโทษก็โทษที่แกเยี่ยวขี้เยอะไปหน่อย ใครใช้ให้แกเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นล่ะ แต่มันไม่สำคัญแล้ว เพราะยังไงแกก็ต้องตาย พวกเราจำเป็นต้องหาแพะรับบาป และเมื่อแกตาย พวกเราก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ยังไงซะพวกเราก็ไม่สามารถโยกย้ายสั่งการพวกองครักษ์เจ้าตระกูลได้ ดังนั้นจึงต้องให้แกรับกรรมแทน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ