จอมนักรบทรงเกียรติยศ นิยาย บท 883

หลังจากที่ฝูงชนออกไป ครูของเสวียนเจิ้นก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ

“ท่านราชา ฉันรู้สึกว่าคุณไม่ควรตัดช่องทางสืบอำนาจไป แบบนี้จะทำให้ผู้คนเบื้องล่างต่อต้าน ไม่พอใจขึ้นมา!” 

“การดำรงอยู่ของโหยวฟางไม่ใช่ครั้งแรก อีกทั้งยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แทนที่จะมีโหยวฟางปรากฏขึ้นอีก การรวมอำนาจเอาไว้ในมือของฉันโดยตรงย่อมดีกว่า รอให้เพลิงเสวนมีเสถียรภาพอย่างสมบูรณ์เมื่อไหร่ ฉันจะแบ่งอำนาจออกไป แบบนี้ก็ยังไม่สาย” 

ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อย่างนั้นผลลัพธ์ก็คือ คนสนิทตีตัวออกหาก ในใจมีความเห็นต่างกัน จากท่าทีเมื่อครู่นี้ของพวกเขา ในใจของพวกเขามีความคิดชั่วร้ายแต่กลับไร้ทางที่ระบายออก เกรงว่าจะมีปัญหา"

“ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกเขา หากใครกล้าทำผิดกฎ ฆ่าไม่เว้น!” 

ชายชราส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ วิธีการโหดเหี้ยมของเสวียนเจิ้นสามารถข่มขวัญผู้อื่นได้ดี แต่แบบนี้ก็มีเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้น นั่นคือคนเหล่านี้จะทำการทรยศต่อญาติพี่น้องของพวกเขาจากนั้นก็กระจัดกระจายออกไป เมื่อถึงวันหนึ่ง เพลิงเสวนก็จะแตกออกเป็นเสี่ยง

“ใช่สิ อาจารย์ ว่ากันว่าผู้คนในสำนักเจ็ดพิฆาตเริ่มทำการสืบหาวังของเสวียนเย่แล้ว แต่ฉันคิดว่าจุดประสงค์ของพวกเขาไม่น่าจะใช่แค่วังของเสวียนเย่เท่านั้น แต่เป็นการทำเพื่อสืบหาวังของพวกเรา”

“พวกเขาไม่ใช่คนที่เราต้องกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเสวียนเย่หายไปตั้งแต่เขาถูกฉันจับขัง ต่อให้หาวังพบแล้วยังไงกัน? ก็แค่กลับไปมือเปล่า เดินทางเสียเที่ยว เรื่องด่วนของเราตอนนี้คือการหาชิงตี้ ผู้หญิงคนนี้คืออันตรายที่ซ่อนอยู่ตลอดไป!”

“ชิงตี้ดูราวกับหายสาบสูญไปจากโลกแล้ว ฐานทัพลับที่กระจัดกระจายไปทั่วประเทศก็ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน อ้อใช่ ครั้งสุดท้ายที่เธอปรากฏตัวดูเหมือนว่าจะยังเป็นจินโจว ครั้งนั้นเธอคราวนั้น เธอติดต่อกับหยิ่นฮวา จากนั้นก็หายตัวไป” 

“อาจารย์ ต้องหาเธอให้เจอ ส่วนสำนักเจ็ดพิฆาต?” เสวียนเจิ้นหยุดชะงักไปแล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกเขากำลังกังวลเรื่องหาคนของเพลิงเสวนไม่เจอไม่ใช่หรือไง? อย่างนั้นก็เปิดเผยที่อยู่ของโหยวฟางออกไป ให้พวกเขาทำอะไรสักหน่อย แบบนี้พวกเราก็จะได้มีเวลาทำเรื่องของเราเองมากขึ้น ยังมีอีกอย่างคือดินแดนต้องห้ามของจ้าวขุมนรก ต้องสำรวจเวลาที่จะเปิดออกให้ดี ฉันเกรงว่ามันจะสายเกินไป!”

“ท่านราชา เข้าใจแล้ว” 

ชายชราหายไป เสวียนเจิ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง มือกำหมัดแน่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “โหยวฟาง เป็นตัวอย่างที่ดีเสียจริง!”

——

วังเสวียนเย่ ขณะนี้เป็นแค่ที่รกร้าง มีซากปรักหักพังอยู่ทุกหนทุกแห่ง ราวกับถูกทำลายพลิกค้นไปจนหมด

รองผู้นำทั้งห้าคนรวมตัวกันและจ้องไปที่วังอันหรูหรา สีหน้าของทั้งห้าคนดูตกใจ

เทียนกางพูดขึ้น "เป็นเพลิงเสวนจริงๆด้วย มั่งคั่งและทรงพลังจริงๆ วังที่หรูหราขนาดนี้ ช่างทำเอาคนต้องตะลึง!"

เทียนหลังเองก็อุทานว่า "ไม่รู้ว่าขูดเลือดขูดเนื้อของประชาชนไปเท่าไหร่แล้วในหลายปีนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันจะมีขนาดใหญ่แบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะหาไม่เจอบนแผนที่ ช่างน่าสนใจจริงๆ!"

เทียนเต๋อ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เสวียนเย่ยังไงก็เป็นนายน้อยเช่นกัน วังที่งดงามเช่นนี้ ดูเหมือนจะตรงกับตัวตนของเขา แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปแล้ว ที่นี่ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เกรงว่าคงไม่มีร่องรอยให้สืบหาเหลืออีก!”

เทียนซิงจ้องไปรอบๆ ไม่พูดอะไร จากนั้นก็หันไปหาเทียนฝู่ “เทียนฝู่ ดูเหมือนเราจะพลาดอะไรบางอย่างไป"

“ยังไงก็เถอะ พวกเราจะมาเสียเที่ยวไม่ได้ ในเมื่อมาแล้ว ทำไมเราไม่ไปเยี่ยมชมวังของนายน้อยเพลิงเสวนสักหน่อยล่ะว่าไร้มนุษยธรรมมากแค่ไหนกันแน่!” จากนั้นเทียนฝู่ก็มองไปที่ผู้คนและพูดเยาะเย้ย "พี่น้องทั้งหลาย ไปกันเถอะ ของพวกนี้ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเชียวนะ ต้องระวังสักหน่อย!"

เมื่อทั้งห้าเข้าไปในวัง ทหารคนอื่นๆ ก็เริ่มแยกกระจายกันออกไปและเริ่มค้นหาพระราชวัง

“เด็กดี ต่อให้ถูกคนย้ายออกไปหมดแล้ว แต่พลังครอบงำก็ยังรั่วไหลไปทั่ว นายลองดูที่ประตูนี้สิ ลองดูฉากกั้นนี้สิ นี่แทบจะเป็นเสมือนของของจักรพรรดิโบราณ เพลิงเสวนนี้คิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิไปแล้วจริงๆ สมกับคำที่ว่า มีเงินมากก็มีอิทธิพลมาก ช่างมีเงินมีอำนาจบาตรใหญ่จริงๆ!"

ไม่เพียงแต่เทียนกางที่ตกตะลึงกับสิ่งนี้เท่านั้น แม้กระทั่งอีกสี่คนก็เป็นเช่นกัน เมื่อพวกเขาเข้าไปในตำหนักกลาง พวกเขารู้สึกว่าที่นี่ไม่ต่างจากพระราชวังของจักรพรรดิโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสัญลักษณ์บัลลังก์ของจักรพรรดินั้น และเมื่อมองไปยังบันไดกว่า 45 ก้าวใต้บัลลังก์ที่นั่ง นี่ก็เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง!

เกียรติยศอันสูงส่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แสดงความสง่าเป็นเลิศ!

“ทำไมเราไม่ยึดที่นี่เอาไว้ก่อน จากนั้นก็เอาไว้ให้พี่ใหญ่ทำเป็นพระราชวัง?” 

ข้อเสนอของเทียนหลังได้รับการสนับสนุนจากทุกคน จนแทบอยากจะซ่อมแซมที่นี่ขึ้นในทันที!

“พอได้แล้ว แม้ว่าสถานที่นี้จะว่างเปล่า แต่ก็น่าจะเหลือร่องรอยอะไรไว้บ้าง ละเอียดมากกว่านี้หน่อย น่าจะได้ผลลัพธ์อะไรอยู่บ้าง” 

เมื่อมีการดำรงอยู่ก็ต้องมีสาเหตุ แม้ว่าที่นี่จะว่างเปล่า แต่ก็ต้องทิ้งร่องรอยไว้อย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่เทียนฝู่เรียนรู้ในการระบุร่องรอยเมื่อเข้าสู่สำนักเจ็ดพิฆาตในวันแรก ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น ทั้งสำนักเจ็ดพิฆาตล้วนเป็นเช่นนี้ ศิษย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนย่อมเก่งกว่าครู

หลายคนไม่ถอนหายใจอีกต่อไป และเริ่มค้นหากันขึ้นมา

ไม่ว่าจะในตำหนักใหญ่หรือที่อื่นๆ หลังจากกวาดตาหาไปรอบๆ พวกเขาก็ส่ายหัวทีละคนๆ ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้เลยสักนิด!

ละเอียดและไร้ที่ติ!

ทั้งห้าคนกลับไปที่ตำหนักใหญ่และนั่งลงอย่างหดหู่ใจ กว่าจะเสาะหามาถึงที่นี่ได้ไม่ง่ายเลย แต่กลับมาช้าไปแล้ว ทุกอย่างล้วนถูกย้ายไปหมดแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความว่างเปล่า แม้กระทั่งโต๊ะและม้านั่งซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ธรรมดาๆ ก็ยังถูกย้ายออกไป และแทบจะไม่มีโอกาสเหลือให้พวกเขาเลยสักนิด

“นี่สอดคล้องกับสไตล์การกระทำของเพลิงเสวนจริงๆ พิถีพิถันและละเอียดอ่อน ไม่ทิ้งโอกาสให้เราเลย!” 

เทียนกางหัวเราะเยาะตัวเองแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปด้านหนึ่งและพูดอย่างเย็นชาว่า "ใครอยู่ที่นั่น!"

เมื่อพูดจบ เทียนกาง ก็รีบพุ่งตัวออกไป ส่วนอีกสี่คนที่เหลือก็มองหน้ากันและรีบไล่ตามไปทันที

เมื่อพวกเขามาถึง กลับพบว่า เทียนกาง ถือกลีบดอกไม้แห้งอยู่ในมือและสังเกตอย่างระมัดระวัง

“เทียนกางเกิดอะไรขึ้น” 

เทียนกาง ยื่นกลีบดอกไม้แห้งให้เทียนฝู่ "ดอกไม้นี้ดูเหมือนจะเป็นดอกลำโพงม่วง ทั่วทั้งประเทศหวาไม่มีพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของมัน นี่ดูเหมือนว่าจะมาจากต่างประเทศ!"

เทียนหลังเอ่ยแทรกขึ้นมา “ใช่ ดอกลำโพงม่วงมีอยู่แค่เฉพาะประเทศเยว่เท่านั้น ฉันจำได้จากก่อนหน้านี้ที่ไล่ตามทหารไป มันถูกพบได้ทั่วไปในประเทศเยว่”

ประเทศเยว่ ประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งที่อยู่ใกล้ประเทศหวาที่สุด!

ก่อนที่เทียนฝู่จะเอ่ยปากขึ้น พูดได้ เทียนซิง และเทียนเต๋อ ก็พบต้นไม้และดอกไม้แห้งในอากาศ นอกจากดอกลำโพงม่วงที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศหวาแล้ว ยังมีของประเทศอื่นๆ ที่มีพรมแดนติดกับประเทศหวา รวมถึงดอกไม้ประจำชาติของประเทศอื่นๆ ด้วย!

เทียนฝู่ เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หรือว่าเสวียนเย่หนีไปต่างประเทศแล้ว?”

“เมื่อกี้ฉันเพิ่งได้ยินอะไรบางอย่างที่นี่ แต่เมื่อมาถึง เขาก็หายตัวไปแล้ว ความแข็งแกร่งของชายคนนั้นอยู่เหนือเราอย่างแน่นอน แต่ที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ ในเมื่อเขาสามารถปรากฏตัวอย่างเงียบ ๆ ได้อย่างนั้นก็ง่ายมากที่จะฆ่าพวกเรา ทำไมจู่ๆถึงได้ส่งเสียงเคลื่อนไหวขึ้นมา?"

เทียนกางพูดจบ ก็มองตรงไปที่เทียนฝู่ ในสถานการณ์ที่ขาดฟางเหยียนไป เทียนฝู่เป็นกระดูกสันหลังของคนเหล่านี้ โดยมีเขาเป็นผู้ให้คำแนะนำและกำหนดแผนการ

“ในเมื่อสามารถฆ่าพวกเราได้แต่ไม่ได้ลงมือ อย่างนั้นก็สามารถยืนยันด้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น เขาต้องการให้เรารู้อะไรบางอย่าง” ทันใดนั้นเทียนฝู่ ก็มองไปที่ดอกลำโพงม่วงในมือของเขา "ฉันขอเดาอย่างกล้าหาญ เขาทำแบบนี้มีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ก็คือกำลังชักนำอะไรบางอย่างให้พวกเรา!"

เทียนเต๋อ อุทาน "อย่างนั้นคนผู้นี้มาดีงั้นหรือ?”

เทียนฝู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ยังไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ยังไม่ต้องไปสนใจว่าคนๆนั้นคือใคร แต่พวกเราสามารถทำการสืบสวนจากตรงนี้ไปต่อได้ โดยเฉพาะดอกไม้และพืชพันธุ์แห้งพวกนี้ นี่อาจเป็นความก้าวหน้าของเราก็ได้ ส่วนเรื่องคนผู้นั้น..."

พูดถึงเรื่องนี้ เทียนฝู่ก็เอ่ยอย่างมีความหมายล้ำลึกว่า "เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราก็จะรู้เอง!"

ผู้คนต่างพยักหน้าทีละคน สิ่งที่ เทียนฝู่พูดล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ ตอนนี้ในที่สุดก็มีเรื่องให้ทำแล้ว!

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ปิดกั้นที่นี่เอาไว้ก่อน จากนั้นก็ทำการสำรวจพืชพันธุ์พวกนี้ และให้ดีที่สุดคือต้องยืนยันได้ว่าเสวียนเย่หนีไปต่างประเทศหรือไม่!”

"เข้าใจแล้ว!"

ทั้งสี่คนรับคำพร้อมกัน

จู่ๆเทียนเต๋อ ซึ่งเคยเอ่ยปากอะไรก็เปิดปากขึ้นมา “ไม่อย่างนั้นพวกเราไปถามชิงตี้โดยตรงเถอะ วิธีนี้จะทำให้เราค้นพบข้อดีและข้อเสียได้รวดเร็วขึ้น"

เทียนฝู่ส่ายหัวและปฏิเสธทันที "แม้ว่าสิ่งที่นายคิดว่าสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้านายบอกกับชิงตี้โดยตรงว่าเราค้นหารังของเธอเจอแล้ว ฉันเกรงว่านี่จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นงานนี้พวกเราได้แต่ต้องทำด้วยตนเองเท่านั้น!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ