อาจารย์อีกคนหนึ่งที่สวมแว่นตาและดูเหมือนมีอายุพูดขึ้น “หึ คุณจะเข้าใจอะไร ถึงแม้ศาสตราจารย์โจวจะไม่ใช่คณบดี แต่ว่าอำนาจการพูดจายังเก่งกาจกว่าผู้อำนวยการเสียอีก คณาจารย์ของพวกเราในเมืองหนานหลิง ล้วนเป็นลูกศิษย์ของเขา เรียนประวัติศาสตร์มากับเขาทั้งนั้น”
“ไม่ใช่ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ต้องเคารพผู้อำนวยการบ้างสิ! อยู่ต่อหน้าผู้คนมากขนาดนั้นยังไม่ไว้หน้าผู้อำนวย นี่คงไม่ค่อยดีมั้ง เมื่อสักครู่คุณไม่เห็นเหรอ? เขาไม่สนใจผู้อำนวยการเลยสักนิด กลับไปที่ห้องทำงานเลย สีหน้าผู้อำนวยการนั้นไม่ต้องพูดถึง ดูแย่มากๆ”
“เสี่ยวเหอ ต่อไปคุณคงเข้าใจแล้วนะ คุณเพิ่งมา จำคำเตือนของผมเอาไว้ อย่าผิดใจศาสตราจารย์โจวเด็ดขาด และอย่าเดินเข้าใกล้เขามากเกินไป นี่คือคนแปลกชื่อดังของมหาวิทยาลัยเรา ถึงตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่าโทษว่าผมไม่เตือนคุณ”
หลังจากได้ยินบทสนทนาของสองคนนั้น ฟางเหยียนคิดในใจว่าศาสตราจารย์โจวคนนี้เป็นคนโหดจริงๆ คาดไม่ถึงอยู่ที่มหาวิทยาลัยยังไม่ไว้หน้าผู้อำนวยการด้วย ดูแล้วคนอื่นเรียกว่าศาสตราจารย์เพี้ยนคงเป็นเรื่องจริง
ตอนที่อาจารย์สองคนนั้นเดินผ่านด้านข้างเขาไป เขาลังเลสักครู่ ก่อนจะถามว่า “ขอโทษนะครับ ศาสตราจารย์โจวอยู่ที่ห้องทำงานหรือเปล่า?”
อาจารย์สองคนนั้นสบสายตากันทีหนึ่ง ชี้ไปที่ปลายทางระเบียงทางเดินแล้วพูดว่า “เดินตรงไปจากที่นี่ พอเดินถึงด้านในสุด จะมองเห็นห้องทำงานผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ห้องหนึ่ง นั่นคือห้องทำงานของศาสตราจารย์โจว”
“ครับ ขอบคุณครับ!” พูดจบ ฟางเหยียนก็เดินเข้าไปโดยตรง
ตอนแรกอาจารย์สองคนนี้อยากเตือนสติเขาบ้าง แต่พอมองเห็นฟางเหยียนเดินไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้สนใจเขาอีก
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานที่สองคนบอกมา ฟางเหยียนมองเห็นประตูเปิดอยู่ มองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง แวบแรกที่มองเข้าไปนั้น มองเห็นก้อนหินมากมายวางระเกะระกะ บางทีคนอื่นมองอาจจะไม่เข้าใจ แต่พอฟางเหยียนมองปุ๊บยังจำได้ว่าของพวกนี้ล้วนเป็นก้อนหินที่อายุเก่าแก่ บางอย่างยังเป็นฟอสซิลของสัตว์
ดูท่าทางความชอบของศาสตราจารย์โจวคนนี้คือการศึกษาวิจัยฟอสซิลและการศึกษาโบราณคดี
ไม่นานเขาก็มองเห็นภาพเงาของศาสตราจารย์โจว เขากำลังถือก้อนหินกรีดออก หยิบอำพันสัตว์ด้านในก้อนหินออก
“ก๊อกๆๆ!” เขาเคาะประตูห้องทำงานแล้ว
ศาสตราจารย์โจวไม่ได้มองเขาสักแวบ ยกมือขึ้นมาทำท่าทางให้หยุด จากนั้นพูดว่า “ยืนอยู่ตรงนั้น อย่าขยับ!”
ฟางเหยียนตื่นตะลึง พูดขึ้นว่า “ศาสตราจารย์โจว ผม...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ยืนอยู่ตรงนั้นไว้!” หลังจากพูดประโยคนี้ ศาสตราจารย์โจวก็ทำเรื่องของตนเองต่ออย่างจริงจัง
ฟางเหยียนส่ายหน้าด้วยความจำใจ คิดในใจถึงอย่างไรฉันก็เป็นผู้นำฟาง นายให้ฉันยืนอยู่หน้าประตู นี่มันเรื่องอะไรกัน แต่อยู่ในชายคาบ้านคนอื่นจะไม่ตอบรับก็ไม่ได้ เขามาหาศาสตราจารย์โจวให้ช่วยแก้ข้อสงสัย ย่อมผิดใจเขาไม่ได้เป็นธรรมดา
ดังนั้นจึงยืนหน้าประตูรอเขาออกมาอย่างเชื่อฟัง รอครั้งนี้ ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมง
หลังจากศาสตราจารย์โจวนำฟอสซิลสัตว์ออกมาได้ จึงเช็ดเหงื่อแล้วเดินออกมา
ฟางเหยียนถึงมองใบหน้าของเขาได้ชัดเจนขึ้น นี่คือผู้อาวุโสที่อายุเจ็ดสิบกว่าปี แต่งตัวเรียบง่าย ผมเป็นสีเทา รูปร่างไม่ใหญ่ ถือว่าเป็นผู้อาวุโสผอมบางมากประเภทนั้น
เขาเงยหน้ามามองฟางเหยียนแวบหนึ่ง ไม่ใช่การมองเต็มตา แต่มองโผล่ขึ้นมาจากใต้แว่นตา เหมือนตอนที่มองฟางเหยียน ในใจยังคิดเรื่องอื่นอยู่ เขาพูดแบบขอไปทีสุดๆ “คุณเข้ามาแล้ว!”
ฟางเหยียนลังเลนิดหน่อย คิดในใจว่าต่งโป๋เหวินคนนี้ยังไว้ใจได้จริง โทรศัพท์เข้ามาแจ้งศาสตราจารย์โจวเร็วขนาดนี้แล้ว
ดังนั้นพยักหน้าตอบ “ครับ ศาสตราจารย์โจว”
“ตามผมมาเถอะ!” ศาสตราจารย์โจวแทบไม่ให้โอกาสฟางเหยียนพูดจา ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องทำงานอีกห้องหนึ่งทันที
หลังจากเดินเข้าห้องทำงานมา เขายกมือขึ้นมองดูเวลาแวบหนึ่ง หยิบหนังสือเล่มหนึ่งแล้วยื่นให้ฟางเหยียน พูดว่า “คุณไปสอนนักศึกษาห้องนี้ให้ผมก่อนแล้วกัน หน้าแรกของหนังสือมีที่อยู่ชั้นเรียนอยู่”
ฟางเหยียนตะลึงพักหนึ่ง ให้สอนนักศึกษา? เขาเป็นคนที่แม้แต่คะแนนตอนมัธยมปลายยังย่ำแย่สุดๆ แล้วจะสอนหนังสือนักศึกษาได้อย่างไร?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ