“ในเมื่อมาหาเรื่องถึงที่ เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดให้มากความ ข้าไม่ให้คำอธิบาย แล้วก็ไม่คิดอยากจะให้ด้วย พวกเจ้าจะเอาอย่างไร ข้ารับไว้หมด” หลี่มู่ก็ขี้เกียจจะพูดมากความกับศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่สมองงอกอยู่ที่ก้นพวกนี้
“เจ้า…” จ้าวหลิงลมหายใจติดขัด
“รนหาที่ตาย…ไปรับโทษขอขมาที่สำนักของพวกเราเสีย” ลูกศิษย์ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
ข้อเสนอนี้ได้รับการเห็นด้วยจากลูกศิษย์คนอื่นๆ ทันที
“หลี่มู่ เจ้าฆ่าพวกลู่อวิ๋น แล้วยังจะมาเสแสร้งอยู่ที่นี่อีก เจ้ามันฆาตกรอำมหิต” โจวเจิ้นไห่ที่หลบอยู่หลังลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์มาโดยตลอด ในที่สุดก็ก้าวออกมาใส่ไฟให้เรื่องใหญ่กว่าเดิมอย่างอดไม่ได้
“เจ้าเป็นใคร”
สายตาของหลี่มู่จับไปยังร่างของผู้อาวุโสหน้าตาชั่วร้ายที่เห็นชัดว่าไม่ใช่ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพบโจวเจิ้นไห่ ดังนั้นจึงไม่รู้จัก
“เจ้ายังมีหน้ามาถาม ชายชราที่โดดเดี่ยวคนนี้ ก็คือบิดาของผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่ที่เจ้าลงมือสังหาร” จ้าวหลิงลากโจวเจิ้นไห่ออกมาจากกลุ่มคนอย่างโกรธแค้น แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เผชิญหน้ากับคนชราน่าสงสารที่บุตรชายตายก่อนเช่นนี้ ใจของเจ้าไม่มีความละอายสักนิดเลยรึ?”
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น “อ้อ เป็นตาแก่นี่เองน่ะหรือ…ไม่ล่ะ”
“เจ้า…ไม่มีความเป็นคนชัดๆ” จ้าวหลิงหน่ายใจกว่าเดิม
ดรุณีน้อยผู้งดงามออกมาจากสำนักครั้งแรก บริสุทธิ์ดุจดอกไม้ขาว เคยชินกับบรรยากาศที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องชายในสำนักต่างรักใคร่เอ็นดู ดังนั้นจึงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ทำไมบนโลกใบนี้ถึงได้มีคนที่ใจแข็งดั่งศิลา เย็นชาไร้ยางอายเช่นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ด้วย
ลูกศิษย์คนอื่นของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ บางคนก็อดสบถด่าขึ้นมาบ้างไม่ได้
สีหน้าของหลี่มู่เย็นชา
“ผู้อาวุโสโจว ข้าขอแนะนำ ท่านให้พวกโง่เง่าข้างหลังท่านหุบปากเสียเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เกิดว่าทนไม่ไหวขึ้นมา แล้วทำต้นกล้าที่โตมาในเรือนกระจกพวกนี้บาดเจ็บเข้า เช่นนั้นก็ต้องขอโทษด้วย” หลี่มู่ไม่สนใจเหล่าศิษย์อายุน้อยที่โง่เขลาเหมือนดอกไม้ขาวอย่างจ้าวหลิง แต่มองไปยังผู้อาวุโสสายนอกสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์โจวเจิ้นชิว
“เจ้า…ไร้ยางอาย”
“กำแหงเกินไปแล้ว”
“กล้าหยามหมิ่นพวกเรางั้นรึ?”
ลูกศิษย์หนุ่มสาวของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ใกล้จะอกแตกเต็มที
หากพูดถึงอายุ พวกเขาก็ล้วนสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว แก่กว่าหลี่มู่อยู่บ้าง แต่ขุนนางเมืองหน้าเลือดกลับดูถูกหยามหมิ่นกันเช่นนี้ ทำให้นักกระบี่อายุน้อยที่หยิ่งทะนงชักกระบี่ยาวจากข้างเอวออกมาเสียงดัง
“หุบปาก! ไร้มารยาท…ยังไม่รีบถอยไปอีก”
โจวเจิ้นชิวเอ่ยปากแล้ว
ภายใต้ระลอกคลื่นกำลังภายใน เสียงของเขาดุจอสุนีบาต ดังก้องเข้าไปในหูของศิษย์หนุ่มสาวสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ทุกคน
ในใจโจวเจิ้นชิวค่อนข้างผิดหวัง
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่เอ่ยอะไรอีก เพราะคิดอยากให้ลูกศิษย์หนุ่มสาวพวกนี้ลองจัดการสถานการณ์เบื้องหน้าดู
แต่เดิมเขาคิดว่าด้วยการวิเคราะห์และสั่งสอนในโกดังเก็บศพครั้งนั้น หลังจากที่ให้เหตุผลข้อน่าสงสัยทั้งหลายแล้ว ก็น่าจะทำให้ลูกศิษย์หนุ่มสาวก้าวหน้าขึ้น อย่างน้อยหลังจากมาถึงที่ว่าการก็จะมีสติมีเหตุผลบ้าง คิดไม่ถึงว่าเมื่อเผชิญกับหลี่มู่ที่ไม่อ่อนข้อให้ โจวเจิ้นไห่เติมฝืนใส่ไฟ ลูกศิษย์หนุ่มสาวพวกนี้ก็บุ่มบ่ามเดือดดาลอีกครั้ง
ในยุทธจักร ยอดฝีมืออายุน้อยที่ดื้อดึงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ ทุกปีตายไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่
ต่อให้เป็นศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ เข้าไปฝึกฝนในยุทธจักรก็มีอัตราการตายในระดับหนึ่ง
“ไม่มีคำอนุญาตจากข้า หุบปากไปให้หมด”
โจวเจิ้นชิวสูดหายใจเข้าลึก จ้องจ้าวหลิงด้วยสายตาเข้มงวดดุดัน
จ้าวหลิงจึงทำได้แค่ถอยไปข้างหลัง ไม่พูดอะไรอีก แต่ก็ยังคงเชิดหน้าขึ้น ใบหน้าสะสวยอ่อนเยาว์ฉายแววไม่พอใจและดื้อดึง ดวงตาคู่งามจ้องหลี่มู่อย่างอาฆาต ราวกับจะใช้สายตาทิ่มแทงเขาให้เป็นรู
ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนอื่นๆ ก็มองเขาอย่างโกรธแค้นด้วยท่าทางกล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดเช่นกัน
หลี่มู่เมินเฉยอย่างสิ้นเชิง
เขาเข้าใจความบุ่มบ่ามของศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์พวกนี้ได้ แล้วก็เข้าใจความเลือดร้อนของจอมยุทธ์มือใหม่เหล่านี้ กระทั่งรู้สึกว่าความโง่เขลาและความฉุนเฉียวของพวกเขาค่อนข้างน่ารักดีด้วยซ้ำ
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะรับและอ่อนข้อให้ความประสงค์ร้ายกับความคิดเป็นปฏิปักษ์ของพวกโง่งมไร้ไหวพริบพวกนี้
หากไม่ใช่เพราะคำเล่าลือของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ในอำเภอดียิ่ง เป็นสำนักสายธรรมที่ใหญ่ที่สุดในเขาขาวพิสุทธิ์ หลายปีที่ผ่านมานี้มีบทบาทสำคัญมากในการควบคุมสถานการณ์รอบแนวเขาขาวพิสุทธิ์ให้มั่นคง อีกทั้งไม่มีร่องรอยการทำชั่วอะไร หลี่มู่คงได้ตบบ้องหูเรียงคนไปนานแล้ว
“ผู้อาวุโสโจว ข้ายังมีธุระ ไม่มีเวลามาถกเถียงอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นแค้นส่วนตัวของท่าน หรือเรื่องส่วนรวมของสำนัก ท่านจะจัดการอย่างไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ” หลี่มู่พูดอย่างเหนื่อยหน่าย
ท่าทางหงุดหงิดและขอไปทีเช่นนี้ ทำให้ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์พลันร้อนรนโกรธแค้นขึ้นมาอีกครั้ง
โจวเจิ้นชิวกลับมีสีหน้านิ่งสงบไร้คลื่นอารมณ์ พูดขึ้นว่า “เรื่องทั้งหมด ตัดสินในสองกระบี่”
“สองกระบี่?”
“ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นข้อพิพาทในยุทธจักร เช่นนั้นก็ใช้กฎของยุทธจักร ประลองยุทธ์ตัดสินแพ้ชนะ หากใต้เท้าหลี่รับข้าได้สองกระบี่ เช่นนั้นข้าก็ขอรับประกันว่าหลังจากวันนี้ไป จะไม่มาที่ว่าการอำเภอเพราะสองเรื่องนี้อีก”
หลี่มู่อึ้งไปเล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงว่าโจวเจิ้นชิวจะเสนอวิธีตัดสินแบบนี้
พูดจากในมุมหนึ่ง ข้อเสนอนี้ยุติธรรมและสมเหตุสมผลนัก ไม่มีส่วนที่ระรานหรือเลอะเทอะไร้เหตุผลเลย
“ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา