จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 140

“เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน?” โจวเต๋อเต้าลุกขึ้นมาด้วยการประคองขององครักษ์ ก่อนถามขึ้นด้วยสายตาอาฆาตแค้น

วันนี้ก่อนอื่นมีคนจับตัวเขาเอาไว้ จากนั้นก็ตบเขา ซ้ำยังหักขาลูกชายต่อหน้าเขาอีก ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็แล้วแต่ ปกติแล้วล้วนเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่มีทางเกิดขึ้นในคฤหาสน์สกุลโจวแน่นอน ทว่าวันนี้กลับเกิดขึ้นพร้อมกัน เล่นเอาโจวเต๋อเต้าคลุ้มคลั่ง ทำให้พ่อค้าที่ปกติแล้วเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกสูญเสียการควบคุมไป

“เลี้ยงดูแต่ไม่สั่งสอน เป็นความผิดของบิดามารดา สั่งสอนลูกชายออกมาได้เหี้ยมโหดชั่วร้ายแบบนี้ เจ้าเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร” หลี่มู่มองโจวเต๋อเต้า พูดด้วยเสียงเย็นชา

วันนี้เขามาหาคน แต่เดิมไม่ได้คิดจะสร้างความวุ่นวายอะไร แต่เมื่อเห็นเซี่ยจวี๋ถูกทรมานแบบนี้ ก็คิดโยงไปถึงเรื่องเมื่อวาน ทำไมเขาจะเดาไม่ได้ว่าโจวอวี่นำความโกรธเมื่อวานทั้งหมดมาระบายบนร่างของหญิงสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนนี้ คิดแล้วก็ทำให้เขาโมโหนัก

“หึ เรื่องของข้า ไม่ต้องให้เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาสั่งสอน เจ้าบุกเข้ามาในคฤหาสน์สกุลโจว ทำร้ายลูกชายข้า ก็อย่าคิดจะมีชีวิตรอดออกไปเลย” โจวเต๋อเต้าคำรามเสียงต่ำ เสียงราวเค้นออกมาจากท้อง เขาเกลียดชังหลี่มู่เหลือเกิน

“ทุกคนต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง เจ้า…รับผิดชอบมันไหวหรือ?” หลี่มู่มองโจวเต๋อเต้า กล่าวว่า “ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่ง อำนาจเม็ดเงินของสกุลโจวก็เหมือนกับของไร้ค่า”

หลี่มู่ไม่อยากจะพัวพันอยู่ที่นี่

เขาตระหนักได้ว่า สิ่งที่เซี่ยจวี๋ประสบพบเจออาจจะเกิดกับชิวอี้ด้วยเช่นกัน

ในเมื่อจางชุยเสวี่ยที่เรียกตัวเองว่า ‘จอมกระบี่ไร้พ่าย’ นั่น ดูไปแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร

เขาหมุนตัวจากไป

“ขวางมันเอาไว้ อย่าให้มันหนีไป” โจวเต๋อเต้าตะโกนสั่งอย่างโมโห

เขาตัดสินใจแล้ว เขาไม่เสียดายว่าต้องจ่ายทุกสิ่ง แต่จะต้องรั้งหลี่มู่เอาไว้แล้วสังหารให้ได้

มียอดฝีมืออารักขาเรือนพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งดั่งคลื่นถาโถมอีก

ในขณะเดียวกัน ก็มีจอมเวทจำนวนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ที่ไกลๆ กำลังท่องอาคมลึกลับ ในอากาศมีพลังเวทที่ทั้งลึกลับและแข็งแกร่งเริ่มหลอมรวมขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมวิชาเวทบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ พลังช่างแข็งแกร่งชวนให้คนหวาดผวา

นักรบชั้นยอดที่ถือธนูเจาะเกราะรวมตัวกันมาจากทุกทิศทาง ก่อนปรากฏกายขึ้นบนกำแพง ด้านหลังก้อนหิน เข้าประจำพื้นที่สูงจากทุกด้าน การออกแบบสิ่งก่อสร้างของคฤหาสน์สกุลโจวมีลักษณะพิเศษคือมองจากข้างในจะเหมือนปราการทหารป้องกันเป็นชั้นๆ ทั้งสวยงามและมีประโยชน์ ในกำแพงหินบางแห่งเปิดช่องลับออก แล้วเข็นเครื่องยิงธนูยักษ์นับสิบคันออกมา…

กลุ่มการเงินที่ใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในฉางอัน เมื่ออำนาจเม็ดเงินและพลังอำนาจสำแดงฤทธิ์ช่างน่ากลัวยิ่งนัก

“วันนี้ต่อให้เจ้าติดปีกก็ยากจะหนีพ้น” สีหน้าโจวเต๋อเต้ากลับมาเป็นปกติภายใต้การปกป้องเป็นชั้นๆ จากองครักษ์ ในดวงตาฉายจิตสังหารโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

“น่าขันนัก” นัยน์ตาของหลี่มู่มีแสงอัสนีหมุนวน

มือซ้ายเขาประคองเซี่ยจวี๋ มือขวาคว้าไปในอากาศ นิ้วทั้งห้าขยับอย่างเป็นจังหวะ อัสนีหลายสายปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขาแล้วพันล้อมไปตามนิ้วทั้งห้า

“เวทอัสนี…เวทที่สอง เหนี่ยวอัสนีสวรรค์!”

คล้อยหลังเสียงคำรามต่ำทุ้มของหลี่มู่ แสงสายฟ้าที่แต่เดิมพันล้อมนิ้วทั้งห้าของเขาก็ฟาดผ่าออกไปทันใด และขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กระจายลุกลามไปราวเปลวเพลิง สายฟ้าขนาดเท่าแขนผู้ใหญ่แผ่มาจากทุกทิศทาง เพียงชั่วพริบตา ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆดำแผ่ตัว อัสนีสีม่วงแต่ละสายฟาดผ่าลงมาอย่างไร้ความปรานีราวกับงูสายฟ้าคลั่ง

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พื้นที่ในบริเวณหลายร้อยจั้งกลายเป็นมหาสมุทรสายฟ้าทันที

ถึงแม้มือธนูและผู้ใช้หน้าไม้ที่สวมชุดเกราะจะเป็นนักรบขั้นรวมจิตทั้งหมด ก็รับมือกับสายฟ้าเช่นนี้ไม่ไหว ถูกฟาดผ่าจนร่างกระตุกเกร็ง มีควันดำลอยออกมาทั้งตัวก่อนจะล้มฟุบลงไป สายฟ้าหอบม้วนจอมเวทที่เดิมกำลังร่ายคาถารวบรวมพลังเตรียมสำแดงวิชาเวทพวกนั้นไปด้วยเช่นกัน วิชาเวทสะดุดลงทันที สายฟ้าผ่าจนร่างข้างนอกกรอบเกรียมข้างในนุ่ม ยอดฝีมืออารักขาเรือนที่ถาโถมมาดั่งคลื่นน้ำ เหนือศีรษะแต่ละคนมีควันดำลอยออกมา จากนั้นจึงล้มคว่ำลงไป…

อีกทั้งสิ่งก่อสร้างที่อยู่รอบๆ ก็แทบจะกลายเป็นที่ราบจากการกวาดทำลายของสายอัสนี

โจวเต๋อเต้าอยู่ภายใต้การประคองและคุ้มกันจากองครักษ์ผู้ภักดีกลุ่มหนึ่ง พวกเขากระตุ้นของวิเศษบางอย่าง ปกป้องโจวอวี่ที่ร้องโหยหวนคร่ำครวญไว้ จึงจะพอฝืนต้านทานสายฟ้าที่ผ่าลงมาได้

ส่วนหลี่มู่ที่อยู่ท่ามกลางอัสนี มือขวาค้ำผืนฟ้า แสงอัสนีแผ่ลาม อัสนีทั้งหมดสลายออกไปจากฝ่ามือเขา ภายใต้การขับเน้นจากแสงสายฟ้าจำนวนมาก ร่างสูงโปร่งแข็งแกร่งดูราวเทพเจ้าผู้ควบคุมอัสนี ทำให้สายตาและจิตใจของคนทั้งหมดรอบๆ ตื่นตะลึง

การโจมตีนี้ทำให้กำลังขององครักษ์สกุลโจวเสียหายสาหัส

แต่ ‘เวทที่สอง • เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ ที่หลี่มู่สำแดง ควบคุมอานุภาพไว้ได้ดีมาก ไม่ได้สังหารล้างบาง ร่างที่ล้มฟุบลงไปแต่ละร่างจึงไม่ถึงกับตาย สายฟ้าแค่ผ่าทำร้ายเข้าเท่านั้น ฟ้ามีเมตตาธรรม หลี่มู่ยังยั้งมือปรานี

หลังจากโจมตีผู้กีดขวางจนราบคาบ เขาก็ไม่คิดจะอยู่ต่อไป อุ้มเซี่ยจวี๋พุ่งออกไปนอกคฤหาสน์สกุลโจว

“สมควรตายนัก จะปล่อยให้มันหนีไปแบบนี้รึ?” โจวเต๋อเต้าโมโหจนกัดฟันกรอด

เขาอยู่ในเมืองฉางอันมานานขนาดนี้ เคยเจอเรื่องน่าโมโหแบบนี้เสียที่ไหน

“ขวางมันไว้ ข้าจะให้มันตาย ข้าจะให้มันตาย…” โจวอวี่ดวงตาแดงก่ำ ตะโกนอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนเป็นฮิสทีเรีย อาการบาดเจ็บเขาฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยด้วยการรักษาของจอมเวทสกุลโจว หยุดความเจ็บปวดเอาไว้แล้ว

ทว่า ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์อารักขาเรือนหรือครูฝึก จนกระทั่งจอมเวทพวกนั้น ก็ไม่มีใครสักคนกล้าตามไป

ในตอนที่หลี่มู่ใกล้จะทะยานออกไปจากเขตเรือนด้านหลังของสกุลโจว ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

ฟิ้ว!

ลำแสงสีส้มแหวกผ่าอากาศมาโจมตีหลี่มู่

การโจมตีนี้หลักแหลมนัก มุ่งหมายมายังจุดที่หลี่มู่ต้องผ่าน

“หืม? ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์?”

สีหน้าของหลี่มู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ยกมือซัดออกไป บดขยี้ลำแสงสีส้มจนแหลกลาญทันควัน

แต่ตัวเขาก็ถูกขวางจนต้องกลับลงมาบนพื้นอีกครั้ง

ทุกคนตาลายไปหมด

แสงสีส้มกะพริบวาบ ชายกลางคนตัวใหญ่หนาล่ำสันปรากฏกายขึ้นต่อหน้าหลี่มู่

ครั้นเห็นชายวัยกลางคนคนนี้ปรากฏตัว ใบหน้าของโจวเต๋อเต้าก็ฉายแววลิงโลดขึ้นทันที เขาตะโกนว่า “หลินก้งเฟิ่ง จับมันเอาไว้ หักแขนขามันซะ ข้าต้องการจับเป็นมัน”

สีหน้าขององครักษ์อารักขาเรือนและหัวหน้าคนอื่นๆ ของสกุลโจวก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน

ขั้นปรมาจารย์ ก้งเฟิ่งของสกุลโจว!

คนผู้นี้ชื่อว่าหลินต้ง เป็นหนึ่งในสองก้งเฟิ่งขั้นปรมาจารย์ของสกุลโจว และเป็นหนึ่งในยอดฝีมือขึ้นชื่อของเมืองฉางอัน พลังอยู่เหนือโจวอีหลิงขุนพลกองรักษาการณ์แห่งเมืองฉางอันเสียอีก เนื่องจากตำแหน่งของก้งเฟิ่งสูงส่ง จึงไม่เหมือนกับองครักษ์อารักขาเรือนทั่วไปที่อยู่ในสกุลโจวตลอดเวลา ดังนั้นกว่าจะได้ข่าวและตามมาต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ตอนนี้จึงเพิ่งจะมาถึงที่

“หลินก้งเฟิ่ง จับเป็นมัน ข้าต้องการจับเป็นมัน” โจวอวี่ตะโกนสั่งเหมือนคนบ้า

หลี่มู่ประคองเซี่ยจวี๋ไว้ สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะมีคู่ต่อสู้ขั้นปรมาจารย์ปรากฏตัว

“ถอยไป” เขามองไปยังหลินต้ง

“เด็กหนุ่ม เจ้ามุทะลุเกินไปแล้ว ขอโทษประธานสมาพันธ์โจวที่นี่เสียเถอะ” หลินต้งดูแล้วอายุประมาณสามสิบใบหน้ามีหนวดเครา ไม่สนใจแต่งเนื้อแต่งตัว หน้าตาธรรมดา แขนขาล่ำสันมีพลัง ยามยืนอยู่ท่ามกลางซากอิฐหักพังชวนให้คนรู้สึกหนักแน่นมั่นคงเหมือนขุนเขา

รอบๆ ตัวเขามีแสงสีส้มเข้มข้นหุ้มล้อมไว้ เหมือนกับเปลวไฟอย่างไรอย่างนั้น

ขั้นปรมาจารย์สามารถปล่อยกำลังภายในออกมา ก่อให้เป็นสนามพลังคุ้มกันกายและเกราะไร้รูปร่าง ในเปลวเพลิงสีส้มเต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังหนักแน่นเหมือนขุนเขา ราวผืนปฐพี ไม่โอนเอนหรือสั่นคลอน

นี่คือกำลังภายในธาตุดินอันไร้รูปร่าง

ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ในบรรดาธาตุทั้งห้า กำลังภายในธาตุดินแข็งแรงหนักแน่นที่สุด ชำนาญด้านเฝ้าระวัง การป้องกันแข็งแกร่งแน่นหนา

“ข้ากำลังรีบ ถอยไป” หลี่มู่สูดหายใจลึก เก็บท้องน้อย ดึงหมัดกลับมา ขาตั้งท่าเริ่มต้นของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ พลังในกายมุ่งไปที่สันหลังราวกับมังกรยักษ์

“ฮ่าๆ ไม่รีบๆ เจ้าอยู่ที่นี่เสียเถอะ” หลินต้งมีสีหน้าเฉยชา เดินบีบเข้ามาหาหลี่มู่ทีละก้าว

ขาของหลี่มู่ขยับ อุ้มร่างของเซี่ยจวี๋เอาไว้แล้วทะยานออกไปดุจลูกธนูที่ปล่อยออกจากคันศร “ไสหัวไป”

“ฮ่าๆ ช่างไร้เดียงสา” หลินต้งหัวเราะลั่น มือทั้งสองค่อยๆ ยกขึ้นมาที่เอว จากนั้นมือขวายกขึ้นสูง มือซ้ายกดลงต่ำ กำลังภายในหมุนวน ฝ่ามือทั้งสองวาดเป็นวงรีอยู่ข้างหน้า ก่อนจะซัดออกไปทันที เสียงสนั่นหวั่นไหวดั่งขุนเขาคำรามดังออกมาจากสองฝ่ามือ เพลิงสีส้มแปลงเป็นภูเขามากมายนับไม่ถ้วน บดขยี้ไปยังหลี่มู่ประหนึ่งกลุ่มภูเขาถาโถม พร้อมตะโกนก้องว่า “นอนลงไปซะเถอะ…ฝ่ามือขุนเขาท่าที่หนึ่ง…ดั่งคีรีพิโรธ!”

ด้วยเคล็ดการต่อสู้ของขั้นปรมาจารย์ ผืนดินสั่นไหวขึ้นมา

แต่ทว่า ร่างของหลี่มู่ก็ราวสายฟ้า หนึ่งหมัดชกออกไปเสมือนขวานยักษ์ผ่าแยกฟ้าดิน ทุกที่ที่พาดผ่าน ภาพมายาของขุนเขาล้วนแหลกทลาย

“อะไรกัน?” หลินต้งหน้าเปลี่ยนสี

ในสายตาของเขา หมัดที่ไม่มีจิตต่อสู้ใดๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“ฝ่ามือขุนเขา…ขุนเขาขวางกั้น”

เขาโคจรกำลังภายในอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งอยู่ข้างบนมือหนึ่งอยู่ข้างล่างกันไว้ตรงหน้าอก จากนั้นต้านรับหมัดนั้นเอาไว้ ขาทั้งสองเหยียบลงไปในพื้นดิน เคล็ดวิชาธาตุดินถูกโคจรจนถึงขีดสุด จึงสามารถยืมพลังจากผืนดินมาได้ เท้าเขาราวกับมีรากงอกออกมา ยืนตระหง่านอย่างมั่นคงอยู่บนผืนดิน…ในเหล่าผู้ฝึกฝนกำลังภายในห้าธาตุ กำลังขาของผู้แข็งแกร่งกำลังภายในธาตุดินนิ่งที่สุด และมั่นคงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

จากนั้นในพริบตาต่อมา พลังมหาศาลที่ไม่อาจควบคุมก็ท่วมมิดหลินต้งทันที

ตูม!

ท่ามกลางฝุ่นธุลีตลบกระจาย หลินก้งเฟิ่งที่รีบร้อนไล่ตามมากระเด็นหายไปจากที่เดิม ห้องต่างๆ กำแพงชั้นใน กำแพงชั้นนอก และสิ่งก่อสร้างอื่นของสกุลโจวที่อยู่ไกลออกไปล้วนมีหลุมรูปคนทับซ้อนเป็นชั้นๆ ติดต่อกัน ทั้งหมดเป็นรอยร่างของหลินก้งเฟิ่งที่ถูกซัดกระเด็นออกมา ไม่รู้ว่าหมัดนี้ส่งเขาลอยไปที่ไหน สายตาก็ยังมองไม่เห็น

หลี่มู่อุ้มเซี่ยจวี๋ ร่างราวสายฟ้า หายไปจากครรลองสายตาของทุกคน

โจวเต๋อเต้าอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

โจวอวี่กระทั่งความเจ็บปวดและคำด่าทอก็ลืมไปสิ้นแล้ว

ยอดฝีมือ ครูฝึก จอมเวท นักรบชุดเกราะพวกนั้น แต่ละคนใจหวาดผวา ควบคุมความเยียบเย็นและเหงื่อเย็นที่หลั่งไหลออกมาจากร่างไม่ได้

จนถึงตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า เมื่อครู่ตนสู้กับตัวประหลาดแบบไหนกันแน่…หมัดเดียวโจมตียอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ธาตุดินเสียจนกระเด็น นี่คือพลังอะไร? ขั้นยอดปรมาจารย์กระมัง? สกุลโจวหาเรื่องขั้นยอดปรมาจารย์หรือ? นี่มันจะน่ากลัวไปหน่อยแล้ว

หน้าผากของโจวเต๋อเต้ามีเหงื่อเย็นไหลลงมา

“ยอดปรมาจารย์? เป็นไปไม่ได้…สวรรค์ คราวนี้ยุ่งเสียแล้ว”

เขาหวาดกลัวเป็นระลอกๆ

ปรมาจารย์กับยอดปรมาจารย์ แตกต่างแค่คำเดียว แต่ความหมายช่างต่างกันลิบลับ

……………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา