วันนี้เกิดเรื่องเกินคาดคิดมากมาย โดยเฉพาะฮวาเสี่ยงหรง เทียบกับกายเต๋าฟ้าประทานของนางที่ทำให้เขาบรรลุขั้นพลังได้แล้ว นางลงมาช่วยพูดให้ในยามที่เขาพบความยากลำบากโดยไม่สนใจสิ่งใด ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินสำนักบัณฑิตทั้งสอง น้ำใจครั้งนี้ทำให้หลี่มู่รู้สึกอบอุ่นในใจ
หลี่มู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอดหยกประดับชิ้นหนึ่งออกมา
หยกประดับชิ้นนี้ใช้ด้ายเงินผูกเอาไว้ รูปร่างเหมือนกลีบดอกไม้พอดี บนนั้นสลักค่ายกลรักษาจิตใจคุ้มกาย เป็นเครื่องรางเต๋าระดับต่ำ หลี่มู่เพิ่งแกะสลักปลุกเสกเสร็จเมื่อเช้า มีประสิทธิภาพในการบอกตำแหน่ง สามารถช่วยผู้สวมใส่ต้านทานการโจมตีเต็มกำลังจากยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ หากนำไปขายในตลาดต้องเป็นของล้ำค่าที่คนแย่งกันหัวร้างข้างแตกเป็นแน่
หลี่มู่หมุนตัวมา สวมหยกประดับชิ้นนี้ไว้ที่คอของฮวาเสี่ยงหรง
“พบหน้ากันครั้งแรก เกือบลืมของกำนัลแรกพบเสียแล้ว หยกประดับชิ้นนี้เป็นหยกที่ข้าทำขึ้นด้วยตัวเอง สามารถรักษาจิตใจคุ้มกาย หากเจ้าไม่รังเกียจ จำไว้ว่าใส่ติดตัวอย่าให้ห่างกาย”
หลี่มู่พูด
กิริยาค่อนข้างเอาแต่ใจนี้ของหลี่มู่ทำเอาฮวาเสี่ยงหรงหน้าแดงซ่าน ในใจหวานซึ้งขึ้นมาอีกรอบ
ซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ กลับค่อนแคะในใจ รังเกียจไม่รังเกียจอะไรกัน เจ้าใส่ไว้ที่คอคุณหนูของข้าโดยไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไร แล้วจะให้คุณหนูปฏิเสธอย่างไร นี่มันจะเอาแต่ใจเกินไปแล้วกระมัง
ทว่าบ่นก็ส่วนบ่น ตอนนี้นางมองออกแล้วว่าฐานะและตำแหน่งของหลี่มู่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ จึงไม่ได้ต่อต้านเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่ยังกังวลอยู่นิดหน่อย ไม่รู้ว่าภูมิหลังฐานะของหลี่มู่จะช่วยจัดการเรื่องนั้นของคุณหนูได้หรือไม่
“ขอบคุณคุณชายมาก” ฮวาเสี่ยงหรงก้มหน้าลง พูดเสียงอ่อนหวาน
หลี่มู่แย้มยิ้ม
สตรีงดงามราวเทพธิดาเช่นนี้ ท่าทางเขินอายช่างทำให้คนใจหวั่นไหว ชวนให้มีจิตปฏิพัทธ์
“แล้วข้าจะมาอีก”
หลี่มู่พูดประโยคนี้ก่อนจะหันกายจากไป
ในโถงใหญ่ ฝูงชนแหวกออกเป็นทางด้วยตัวเอง ให้เขาเดินออกไป
ด้านนอก เด็กในหอสดับเซียนที่รู้งานจูงม้าดำของหลี่มู่ออกมา
หลี่มู่เหวี่ยงตัวขึ้นม้า
ทหารชุดเกราะดำราวคลื่นน้ำที่อยู่ข้างนอกแหวกทางให้ หนึ่งคนหนึ่งม้าไม่รีบไม่ร้อน ค่อยๆ จากไปไกลภายใต้แสงสว่างของโคมไฟเจิดจรัสจากสองฝั่งถนน สุดท้ายก็หายไปในความมืด
จากไปอย่างสบายๆ และสง่างาม
จวบจนกระทั่งร่างของหลี่มู่หายลับไปในถนนไกลโพ้น หลายคนในโถงใหญ่ถึงจะดึงสายตากลับคืนมาช้าๆ
ชั่วขณะนั้น ทุกคนต่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“ทหาร หามออกไป ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ส่งไปสำนักบัณฑิตของแต่ละคน” ไช่จือเจี๋ยออกคำสั่งให้ลากพวกหลินชิวสุ่ย หลิวมู่หยาง บัณฑิตอ้วนเตี้ย และซ่งชิงเฟยที่สลบออกไป หลังจากตรวจตรารอบหนึ่งแล้วก็สั่งถอนกำลังทหาร
นี่ก็นับว่าปิดคดีแล้ว
ท่าทีของเขาเป็นตัวแทนท่าทีของทางการ
ซึ่งก็หมายความว่าทางการเมืองฉางอันจะไม่สืบสาวราวเรื่องที่หลี่มู่ฆ่าคนอีกต่อไป หากสำนักบัณฑิตทั้งสองจะล้างแค้น เช่นนั้นต้องอาศัยกำลังของตัวเองแล้ว
ฝูงชนในโถงใหญ่ที่ดูเรื่องสนุกคิดไม่ถึงว่าเรื่องดำเนินมาจนถึงท้ายที่สุดแล้วจะเป็นแบบนี้
นี่มันเป็นการบดขยี้ฝ่ายเดียวชัดๆ
เป็นการกำราบอย่างสิ้นเชิง
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?
ไม่มีใครรู้คำตอบ
คำอธิบายเพียงอย่างเดียวคือ ประวัติความเป็นมาและฐานะของเด็กหนุ่มคนนี้น่าตกใจมาก
“ใต้เท้าไช่” ไป๋เซวียนอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “เด็กหนุ่มคนนี้…เป็นใครมาจากที่ใดกันแน่?”
นางกับไช่จือเจี๋ยนับเป็นสหายเก่า ดังนั้นจึงกล้าเอ่ยปากถาม
นางอยู่ที่หอสดับเซียนมานานหลายปีขนาดนี้ ได้พบขุนนางชั้นสูงมาไม่รู้ต่อเท่าไหร่ แต่ไม่มีชั่วเวลาไหนเหมือนตอนนี้ที่ทนไม่ไหวอยากรู้ประวัติความเป็นมาของเด็กหนุ่มซึ่งสังหารอาจารย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์และเสียงวิหคสวรรค์ แล้วยังสามารถจากไปได้อย่างปลอดภัยภายใต้การน้อมส่งของขุนนางกองรักษาการณ์เขตเมืองตะวันออก
ทุกสิ่งในคืนนี้น่าอัศจรรย์ไปนิด
ไช่จือเจี๋ยอึ้งไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไม่รู้?”
พูดจบเขาก็กล่าวขึ้นอีก “ยอดปรมาจารย์สายยุทธ์ที่อายุน้อยเพียงเท่านี้ แค่เอ่ยปากก็ร่ายกวีได้ ในฉางอันจะมีสักกี่คนกันเชียว?”
รูม่านตาของไป๋เซวียนหดเล็กลง นึกอะไรออก “หรือว่า…จารึกเรือนซอมซ่อ…เป็นเขา?”
ไช่จือเจี๋ยพยักหน้า “ข้านึกว่าเจ้ารู้ฐานะของเขาเสียอีก…แปดปีก่อนไร้ชื่อเสียง เมื่อโด่งดังก็ดังในเปรี้ยงเดียว เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นบู๊ จิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดของจักรวรรดิ หากไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร?”
พูดจบ ขุนนางตรวจตราแห่งกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตกก็นำกองกำลังจากไปอย่างผ่าเผย
เขามาก็เพื่อตามเช็ดตามล้างให้หลี่มู่
ตอนนี้เช็ดจนสะอาด แน่นอนว่าต้องจากไปแล้ว
นี่เป็นปัญหาเรื่องลักษณะการวางตัว
สำหรับสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์และเสียงวิหคสวรรค์…หึๆ ภาวนาให้ตัวเองก็แล้วกัน
ส่วนตอนนี้ ในโถงใหญ่ของหอสดับเซียนก็ฮือฮาอื้ออึงกันราวกับภูเขาไฟใต้ดินที่อัดอั้นอยู่นาน สะสมพลังเพียงพอแล้วก็ระเบิดออกอย่างเต็มที่ในที่สุด พลังทะลักล้นออกมา ให้ความรู้สึกร้อนระอุที่ทั้งบ้าคลั่งและน่าหวาดหวั่น
ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง
นี่เป็นความคิดเพียงอย่างเดียวที่ผุดขึ้นมาในใจของทุกคนตอนนี้
มิน่าเล่าถึงได้แต่งกลอนอมตะอย่าง ‘กลอนสาวงาม’ กับ ‘พิศบุปผาเพียงพิศพักตร์’ แบบนี้ออกมาได้ ที่แท้เป็นท่านผู้นั้นนั่นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา