คนที่พูดคือกลุ่มลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ก่อนหน้านี้นั่นเอง
เมื่อครู่พวกเขากลัวจนหัวหดเช่นกัน แต่ละคนก้มหน้างุดกลัวหลี่มู่จะมองเห็น ตอนนี้เด็กหนุ่มจากไปไกลแล้วถึงได้กล้าออกมาคุยโวโอ้อวด
ครั้นเอ่ยเช่นนี้ บรรยากาศร้อนระอุในโถงใหญ่ก็เหมือนมีใครใช้น้ำเย็นสาดมายังอ่างผิงไฟที่คุโชน
หลายคนถึงนึกถึงเรื่องนี้ได้โดยพลัน
ใช่แล้ว ยังมีเรื่องท้าประลองของยอดปรมาจารย์ทั้งสองด้วย
ระยะเวลากำหนดท้าประลอง หากนับรวมวันนี้ก็ผ่านไปสองวันแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นศึกตัดสินเป็นตายของยอดปรมาจารย์ทั้งสองคนนี้
สองวันที่ผ่านมา ในเมืองฉางอันต่างคาดการณ์ศึกนี้กันไปต่างๆ นานา แต่สรุปแล้วก็ตั้งความหวังไว้ที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มากกว่า ถึงอย่างไรธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก็มาจากสำนักมีชื่อเสียง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน หลายปีมานี้ยิ่งแกล้งตายปลีกวิเวก ไปฝึกฝนวิชา วันนี้พลังไปถึงขั้นไหนแล้วก็พูดได้ยาก ต่อให้บอกว่าทะลวงขั้นยอดปรมาจารย์ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้วก็เป็นไปได้
ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนนี้พอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากประโยคนี้มาก
“ข้าบอกพวกเจ้าอย่างไม่กลัวเลย หลี่มู่ตายแน่แล้ว…พรุ่งนี้ยามอาทิตย์ขึ้น จะเป็นเวลาที่หัวของมันร่วงลงพื้น ก็แค่ผู้เยาว์รุ่นหลังที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นยอดปรมาจารย์คนหนึ่ง เซียนกระบี่สวรรค์ฆ่ามันได้ราวเชือดไก่ฆ่าสุนัข”
เขาทำหน้าได้ใจ พูดจาอวดดีดูน่าเชื่อถือ
ทว่า ครั้งนี้คำพูดของเขาก่อให้เกิดความตื่นตะลึงฮือฮาจากฝูงชนในโถงใหญ่ไม่ได้อีกแล้ว
โดยรอบเงียบกริบ
ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนอื่นที่เมื่อครู่ยังตะโกนอย่างกำแหงอวดดี สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แฝงไว้ซึ่งความหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทา พลางมองไปยังประตูของโถงใหญ่คล้ายเห็นอะไรที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวด
ศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนนี้สงสัย “พวกเจ้า…” เขาพลันเข้าใจอะไรทันที จึงหันกายกลับไปมองประตูโถงโดยไม่รู้ตัว
กลับเห็นหลี่มู่ที่จากไปแล้วกลับมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาผูกม้าดำไว้กับเสาผูกม้าหน้าประตู ก่อนเดินเข้ามาอย่างเนิบช้า “เมื่อครู่รีบไปหน่อย เหมือนข้าจะลืมจ่ายเงิน…” ตั๋วทองใบหนึ่งลอยจากมือเขาไปยังไป๋เซวียนอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนหน้านี้หลังจากเขากับเจิ้งฉุนเจี้ยนนั่งลงที่โต๊ะก็สั่งอาหารมา
“ก่อนอาจารย์เจิ้งจะไปได้จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋เซวียนรีบบอก
หลี่มู่นิ่งไป พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “อ้อ” เพียงแค่สะบัดมือ ตั๋วทองที่ลอยช้าเนิบไปจนถึงกลางทางแล้วก็กลับมายังมือของเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า
หลังยิ้มพลางพยักหน้าน้อยๆ ให้ฮวาเสี่ยงหรง หลี่มู่ก็หมุนตัวจากไปอีกครั้ง
เหล่าศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ดูท่าทางหลี่มู่เหมือนจะไม่ได้มาคิดบัญชีกับพวกเขา
เห็นหลี่มู่ปลดเชือกจากเสา จูงม้าเดินออกไปสองก้าว แล้วจู่ๆ ก็หมุนตัวกลับมา เพียงยกมือขึ้นแสงสายฟ้าหกสายก็พุ่งออกมาจากกลางมือเขา สายฟ้าราวกับงูฟาดเปรี้ยงเข้าไปในกายของศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงหกคนนั้น
“คิดว่าข้าไม่ได้ยินจริงๆ รึไง”
หลี่มู่เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
อันที่จริง เขาไม่ได้มาเพื่อจ่ายเงินหรอก แต่ตอนที่เดินไปได้ครึ่งทางก็พลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้คิดบัญชีกับศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ในโถงใหญ่พวกนั้นเลย ดังนั้นจึงหาข้ออ้างส่งเดช รีบลับมาจัดการคนพวกนี้
ตุบ ตุบ ตุบ!
ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ทั้งหกคนมีควันลอยออกจากร่าง ประหนึ่งต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม ล้มพับไปบนพื้น น้ำลายฟูมปากเป็นฟองฟอด แขนขาเกร็งกระตุก
พลังฝึกกำลังภายในข้างในร่างโดนทำลายสิ้น นับว่าเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว
คนในโถงใหญ่ต่างสูดลมหายใจเฮือก
ทักษะการแสดงของหลี่มู่เกินความจริงยิ่งนัก พวกเขาก็พอจะดูออก ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์หลี่มู่ลืมจ่ายเงินเสียที่ไหน เห็นชัดๆ ว่าหาข้ออ้างมาจัดการลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ห้าหกคนพวกนั้น ในเมื่อคนที่ความจำดีบางคนยังจำได้ว่า ก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์นั่งร่วมโต๊ะเดียวกับหลี่มู่ ทั้งยังเอ่ยเยาะหยันอีกด้วย
ยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง
……
“ใต้เท้า ถึงแม้เขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องมา แล้วก็ไม่จำเป็นไว้หน้าเขาต่อหน้าคนมากมายแบบนั้นด้วย”
ขุนพลคู่ใจคนหนึ่งถามขึ้นระหว่างทางกลับของกองกำลังทหารชุดเกราะดำ
ไช่จือเจี๋ยร่างโอนเอนอยู่บนหลังม้า เหมือนใกล้จะทับม้าศึกที่ขี่อยู่จนแบนแล้วเต็มที “อาจารย์เจิ้งแห่งที่ว่าการเจ้าเมืองมาหาข้า แน่นอนว่าต้องไว้หน้าเขาหน่อย บัณฑิตคนนี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ควรล่วงเกินเขา อีกทั้งหากตรองลงไปให้ลึก เบื้องหลังเขาก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีเงาของท่านเจ้าเมืองอยู่”
“แต่ได้ยินมาว่าหลี่มู่คนนี้เป็นลูกที่ใต้เท้าเจ้าเมืองทอดทิ้ง ปีนั้น…”
“ชู่ ระวังคำพูด” ไช่จือเจี๋ยขัดคำพูดของคนสนิท
เขาถลึงตามองคนสนิทผู้นี้แวบหนึ่ง “เรื่องในครอบครัวของท่านเจ้าเมืองไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหรือข้าจะเที่ยวเดาส่งเดช ระวังจะมีภัยเพราะปาก” ใครต่างก็รู้ว่าเขาไช่จือเจี๋ยเป็นคนมุทะลุอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ความจริงแล้ว การนั่งตำแหน่งขุนพลตรวจตราแห่งกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นเขตชนชั้นสูงคหบดีได้อย่างมั่นคงมาตลอดสิบปี เป็นเรื่องที่คนมุทะลุทำได้ที่ไหนกัน
“จำเอาไว้ วันหลังห้ามล่วงเกินหลี่มู่เป็นอันขาด” ไช่จือเจี๋ยเตือนด้วยสีหน้าดุดัน “สั่งการลงไป คนของกองรักษาการณ์เขตตะวันออกของเรา หากพบยอดปรมาจารย์คนนี้จะต้องเกรงใจ ไม่ว่าใครมาหาพวกเจ้า หากให้จัดการหลี่มู่ก็บอกปัดไปให้หมด ถ้ามีคนทำการโดยพลการแล้วหาเรื่องมาให้ข้า ข้าจะถลกหนังมันเสีย”
“น้อมรับคำสั่ง” ขุนพลคนสนิทรีบรับคำ
น้อยครั้งที่เขาจะเห็นใต้เท้าของตนกำชับเรื่องเรื่องหนึ่งอย่างจริงจังเช่นนี้
ไช่จือเจี๋ยปิดปากเงียบอยู่บนหลังม้า
เขากำลังขบคิดความในใจอยู่
ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์รึ
หึ ไม่มีอัจฉริยะฟ้าประทานแบบนี้ปรากฏขึ้นนานเท่าใดกันแล้ว
ในเรื่องที่เล่าลือกัน ใต้เท้าเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผาสำนักเทพที่ปกปักจักรวรรดิทุกวันนี้ เมื่อครั้งอยู่ขั้นยอดปรมาจารย์อายุเท่าใดกัน? เหมือนจะเกินสิบหกแล้วกระมัง แต่หลี่มู่เพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น
หนึ่งวันหลังจากนี้ ศึกท้าดวลที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เขาจะไปดูการประลองด้วย
ศึกนี้หากหลี่มู่ชนะจริง ต่อให้เป็นชัยชนะที่สะบักสะบอม ก็จะเปลี่ยนจากหนอนไหมเป็นผีเสื้อ โด่งดังไปทั่วจักรวรรดิ
ถึงตอนนั้น เมืองฉางอันเล็กๆ แห่งนี้เกรงว่าจะไม่พอให้ยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยคนนี้สำแดงเดชแล้ว
แน่นอน เงื่อนไขแรกคือถ้าเขาสามารถเอาชนะได้
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา