จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 167

สรุปบท บทที่ 167 เหนือยอดปรมาจารย์ (1): จอมศาสตราพลิกดารา

ตอน บทที่ 167 เหนือยอดปรมาจารย์ (1) จาก จอมศาสตราพลิกดารา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 167 เหนือยอดปรมาจารย์ (1) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์

“กำเริบเสิบสาน สังหารอาจารย์ของสำนักบัณฑิตข้ายังกล้าพูดจาอวดดีแบบนี้…ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

ในห้องของเจ้าสำนักบัณฑิต ชายชรารูปร่างองอาจตบโต๊ะจนกลายเป็นเศษผงด้วยความโมโห

“สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เปิดสำนักมาสองร้อยปี มีลูกศิษย์ไปทั่วดินแดน เกรงกลัวบุตรที่ถูกทิ้งตัวเล็กๆ เสียที่ไหน ต่อให้เขาเป็นยอดปรมาจารย์แล้วอย่างไร? ส่งเทียบเชิญศิษย์เก่า เรียกอัจฉริยะของสำนักกลับมาเตรียมตัวรอยอดปรมาจารย์หนุ่มคนนี้”

ชายชราคล้ายสิงโตเกรี้ยวกราด

“เจ้าสำนัก ไยจึงไม่รอศึกท้าประลองวันพรุ่งนี้จบก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะส่งเทียบเชิญศิษย์เก่าหรือไม่?” มีอาจารย์คนหนึ่งเสนอขึ้น ความนัยของเขาก็คือหากหลี่มู่ตายอยู่ใต้คมกระบี่ของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์วันพรุ่งนี้ เช่นนั้นไม่ต้องยุ่งยากเลย

“ไม่ ส่งตอนนี้เลย” เจ้าสำนักชราหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยว่า “พรุ่งนี้ตามไปดูการประลองกับข้า มาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ของข้าหลายปีมานี้สงบเสงี่ยมเกินไปแล้ว เลยทำให้หมาแมวที่ไหนไม่รู้กล้ามาหาเรื่องเรา งานชุมนุมศิษย์เก่าครั้งนี้จะต้องจัดให้ใหญ่โต ให้โลกภายนอกรู้ถึงพลังของสำนักเรา”

เขาจะประกาศศักดาแล้ว

……

“เจี่ยจั้วเหรินไอ้สุนัขเฒ่า ตัวเองรนหาที่ตายก็ช่างเถอะ แต่กลับมาลากให้สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ลำบากไปด้วย ตายไปได้ก็สมควรแล้ว”

สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ คนระดับสูงของสำนักสิบกว่าคนมารวมตัวกันอยู่ในห้องเจ้าสำนักเช่นกัน

อาจารยหนุ่มคนหนึ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันก่นด่า

เขาคืออัจฉริยะของสำนักบัณฑิตที่ปรากฏตัวขึ้นในช่วงสองสามปีมานี้ จึงได้รับมอบหมายงานใหญ่ และได้เข้าร่วมกลุ่มสิบสองผู้วางกลยุทธ์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ เพราะยังอายุน้อยจึงอารมณ์ร้อน เวลาพูดไม่กังวลอะไรแม้แต่น้อย

“ก็แค่คนตายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” ชายแก่ที่ดูแล้วผมบาง ฟันเหลืองทั้งปาก หน้าตาอัปลักษณ์หัวเราะหึๆ พร้อมกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าตาเฒ่าเถี่ยจ้านส่งเทียบเชิญศิษย์เก่าแล้ว หึๆ ตาแก่นี่อยากจะออกมาเต้นเร่าๆ เต็มที ทนเหงาไม่ได้จริงๆ สินะ”

ชายชราคนนี้ก็คือเจ้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์

“อาจารย์ เช่นนั้นพวกเราส่ง ‘เทียบเชิญศิษย์เก่าเสียงวิหคสวรรค์’ บ้างดีหรือไม่?” อาจารย์หนุ่มเอ่ย

ชายชราอัปลักษณ์โบกมือ “ส่งกับผีอะไรเล่า ระดมพลมากมายจะไปมีความหมายอะไร พรุ่งนี้เจ้าตามข้าไปโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ดูการประลอง หากหลี่มู่รอดมาได้ ถึงตอนนั้นประตูคลังคัมภีร์สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์จะเปิดไว้ให้เขาเลย ฮ่าๆ อยากจะดูนานแค่ไหนก็ตามใจ ข้าไม่ใช่เถี่ยจ้านตาแก่หัวดื้อนั่น หนังสือตำราของพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้ให้คนอ่านรึไงกัน เก็บซ่อนเอาไว้ใช่ว่าจะออกลูกทำพันธุ์ได้เสียเมื่อไหร่”

อาจารย์หนุ่มเหงื่อตกทันที

คนระดับสูงของสำนักบัณฑิตคนอื่นๆ ก็เหนื่อยหน่ายใจ

ลักษณะการพูดจาและการทำงานของเจ้าสำนักบัณฑิตของพวกตนช่าง…เป็นเอกลักษณ์เสียจริง เหมือนคนมีการศึกษาที่ไหนกัน

……

ตรอกไล่หมู เรือนซอมซ่อ

หลี่มู่ตื่นจากการฝึกฝนทั้งคืน เดินออกมาจากห้องฝึกยุทธ์

ชุนเฉ่าและเซี่ยจวี๋เตรียมอาหารเช้าพร้อมแล้ว รอหลี่มู่มาทานอาหารเช้าด้วยกันกับท่านแม่หลี่

คู่สามีภรรยาตงเสวี่ยกลับสกุลหนิงไปแล้วเมื่อวันก่อน แต่เมื่อวานก็กลับมาอีกครั้ง นำของขวัญมาด้วยมากมาย

“ง้าว…” เสือดาวเบญจมาศนอนอยู่ในสวน ส่งเสียงร้องน่ารักเหมือนกับแมวตัวโต จินตนาการเชื่อมโยงเสียงร้องของมันเข้ากับลักษณะใหญ่โตนั่นได้ยากนัก

อาการบาดเจ็บของมันโดยรวมดีขึ้นแล้วจากการรักษาของหลี่มู่

มีเพียงดวงตาข้างนั้นที่โดนแทงทะลุจึงไม่อาจมองเห็นได้อีก ในวันข้างหน้าเป็นได้แค่มังกรตาเดียวเท่านั้น

หลี่มู่โยนขาหมูสดใหม่ชิ้นโตไปตามมือ ถือเป็นอาหารเช้าให้มัน จากนั้นก็ยิ้มพลางนั่งลงเริ่มรับประทานอาหารเช้ากับมารดาและคนอื่นๆ

หลังจากหลี่มู่วางค่ายกลแล้ว อาณาบริเวณเรือนก็เต็มไปด้วยพลังชีวิต อากาศบริสุทธิ์ยิ่งนัก มีกลิ่นอายที่ทำให้คนจิตใจผ่อนคลาย พลังวิญญาณมากเพียงพอ ดีกับสุขภาพยิ่งนัก พวกมารดาหลี่มู่ทั้งสามร่างกายฟื้นตัวได้ดีมาก สภาพจิตใจก็เยี่ยมยอดไม่เลว

กระทั่งว่าทั้งตรอกไล่หมูก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย

ชาวบ้านในตรอกหลายคนต่างรู้สึกว่าหลายวันมานี้นอนหลับได้สบายมาก สมองโล่งปลอดโปร่ง คนป่วยบางคนก็หายดีอย่างน่าประหลาด อาการบาดเจ็บภายในของบางคนก็เช่นกัน กระทั่งแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้ในบ้าน วันหนึ่งยังออกไข่ได้ถึงสองฟอง..

“มู่เอ๋อร์ นัดท้าประลองวันพรุ่งนี้ เจ้ามั่นใจหรือไม่?” มารดาหลี่มู่ถามขึ้นเหมือนถามไปตามอารมณ์

สิ่งที่นางเป็นกังวลที่สุดก็ยังเป็นเรื่องนี้

ถึงแม้วันสองวันมานี้หลี่มู่จะพยายามพูดถึงความรุนแรงของศึกท้าประลองครั้งนี้ให้ดูอันตรายน้อยลง แต่การท้าดวลท้าประลอง ศาสตราวุธหาได้มีตาไม่

หลี่มู่ยิ้มตอบ “ท่านแม่วางใจ ศึกคราวนี้ สำหรับข้าแล้วการคว้าชัยชนะง่ายราวพลิกฝ่ามือ”

มารดาหลี่มู่ได้ยินบุตรชายรับประกันอีกครั้งจึงค่อยวางใจ

ไม่นานก็ทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ หลี่มู่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนมารดาครู่หนึ่ง

“ใช่แล้ว มู่เอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่หลายวันมานี้แม่ลืมบอกเจ้าไป ตอนเจ้ายังไม่เกิดก็ได้คู่หมั้นแล้วตั้งแต่อยู่ในท้อง อีกฝ่ายเป็นสหายสนิทที่ดีที่สุดของแม่เมื่อวันวาน ถึงแม้จะไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว แต่แม่ก็ได้ยินมาว่าเพื่อนสนิทคนนั้นมีลูกสาวที่งดงามดุจบุปผาดั่งหยก เป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์…” มารดาหลี่มู่พูดโพล่งขึ้นมาเช่นนี้

ว่าไงนะ?

คู่หมั้นตั้งแต่อยู่ในท้อง?

นี่มันเรื่องอะไรกัน

หลี่มู่จะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก

ความรู้ทั่วไปพวกนี้ ในยามที่พูดคุยกับพี่ใหญ่กัวอวี่ชิง หลี่มู่เกรงใจที่จะถาม

เวลาผ่านไป

แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากที่อ่านไปรอบหนึ่ง ในที่สุดเขาก็อ่านม้วนเอกสารครบทั้งหมด

เขาเข้าใจระบบการฝึกยุทธ์ของโลกนี้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก

พลังยุทธ์สูงต่ำของโลกนี้ส่วนมากแบ่งเป็นขั้นรวมพลัง รวมปราณ รวมจิต ปรมาจารย์ ยอดปรมาจารย์…พลังยุทธ์ของเขาทุกวันนี้อยู่ที่ขั้นยอดปรมาจารย์

เหนือขั้นยอดปรมาจารย์ไปอีกก้าวหนึ่งก็จะทะลวงโซ่ตรวนขีดจำกัดมนุษย์ ทำลายพันธนาการที่สวรรค์ลิขิตให้เป็นไป ทำให้กายเนื้อและวิญญาณเกิดการเปลี่ยนสภาพ นับว่าข้ามผ่านหลังกำเนิด (สิ่งที่ได้มาเองภายหลัง) เข้าสู่ก่อนกำเนิด (สิ่งที่ได้มาตั้งแต่เกิด)

เรียกว่า ‘ขั้นฟ้าประทาน’

ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน เรียกได้อีกอย่างว่าผู้แข็งแกร่งไร้พ่าย

ขอเพียงแค่ในกายมีปราณฟ้าประทานเพียงเล็กน้อย ก็นับว่าก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว

ในทั้งขั้นฟ้าประทานเป็นขั้นตอนการฝึกฝนเปลี่ยนพลังที่ฝึกได้ทั้งหมดให้เป็นพลังฟ้าประทาน เหมือนกับลับมีดบนหินลับมีดจนคม จึงจะถือว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเสร็จสิ้นสมบูรณ์

ในขั้นพลังระดับนี้ จำนวนและความเข้มข้นของพลังฟ้าประทานจะเป็นตัวตัดสินระดับสูงต่ำของพลังที่แท้จริง

และหลังจากที่กำลังภายในทั้งหมดกลายเป็นปราณแท้ฟ้าประทาน ก็จะไปถึงขั้นที่สูงยิ่งขึ้นไปอีกอีกขั้นหนึ่ง…

ขั้นเหนือมนุษย์

‘ขั้นเหนือมนุษย์’ นั้นน่ากลัวมากทีเดียว เรียกกันว่าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด

ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจว ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์มีจำนวนนับได้ ผู้อาวุโสสูงสุดหรือเจ้าสำนักขั้นหนึ่ง ขั้นสอง และเหล่าเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิทั้งสาม ส่วนมากก็จะมีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในขั้นพลังนี้ สำแดงศักดาไปทั่วแถบทิศหนึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่อยู่จุดสูงสุดของยอด เพียงแค่หนึ่งความคิดก็ควบคุมความเป็นความตายของสรรพชีวิตได้

ทั้งยังมีปีศาจเฒ่าพันปีที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกหรือหนองน้ำบางส่วนก็อยู่ในขั้นพลังนี้เช่นกัน

แต่ว่า ปีศาจน้อยครั้งนักที่จะออกมาสู่โลกภายนอก หนึ่งเพราะเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจไม่ลงรอยกันสักเท่าไหร่ สองเพราะเมืองที่มนุษย์อาศัยส่วนมากอากาศปนเปื้อน กลิ่นอายโลกีย์คละคลุ้ง พลังวิญญาณเมื่อเทียบกับป่าดึกดำบรรพ์แล้วค่อนข้างเบาบาง ปีศาจที่มุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญตนจริงๆ ชอบซ่อนอยู่ในหุบเขาลึก หนองน้ำ หรือสถานที่ตามธรรมชาติมากกว่า

มีปีศาจจำนวนน้อยที่เกิดมาชั่วร้าย ฝึกฝนวิชามาร ต้องกัดกินเลือดมนุษย์หรือแก่นสารสำคัญ หลังจากแปลงกายได้ถึงจะแฝงตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ สมคบคิดทำเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจแพร่งพรายได้ในมุมมืด ทว่าหากถูกพบเข้าก็จะถูกผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ไล่ล่าสังหาร ส่วนมากล้วนแตกดับ ดังนั้นจึงกระทำการลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

……………………………………………………

[1]เป็นคำพูดที่เอ่ยถึงว่าความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่ ยอมลำบากและทุ่มเทให้ลูก แต่ลูกกลับไม่เข้าใจ กระทั่งเข้าใจพ่อแม่ผิด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา