สิ่งที่โจวอู่พูดไปเมื่อครู่ถูกเจิ้งหลงซิงย้อนกลับมาหมด
โจวอู่โกรธจนตัวสั่น
เขาไม่นึกเลยว่าเฝิงหยวนซิงคนที่เชื่อฟังเขาทุกคำ ต่อหน้าเขาปฏิบัติตามทุกอย่างจนเกือบเหลาะแหละ จะหันดาบมาหาและหักหลังเขาในยามคับขัน ช่างร้ายกาจเยี่ยงงูพิษ ก่อนนี้มันหลอกเขามาโดยตลอด
หลี่มู่กินเนื้อย่างหัวเราะร่า ทำท่าเหมือนพวกเจ้าทะเลาะกันไปก่อน ไม่ต้องมาสนใจสีหน้าข้า
ช่างเป็นฉากที่น่าขัน หลี่มู่ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องราวกับกำลังชมการแสดง
ด้านหมิงเยวี่ยน้อยไม่สนใจการหลอกกันไปมาของพวกใต้เท้าทั้งหลายเลยสักนิด
นางหยุดความตะกละของตัวเองไม่ไหว จึงไปหาลูกศรเขี้ยวหมาป่ามาสองสามดอก แล้วตัดเนื้องูมาย่างเองเสีย
กลับเป็นเด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่ราวกับคิดอะไรอยู่ ท่าทีดูไปแล้วคล้ายผู้ใหญ่
เฝิงหยวนซิงคุกเข่าที่พื้น ไม่กล้าลุกขึ้น เหงื่อไหลลงจากหน้าผากหยดแล้วหยดเล่า
ท่าทางของหลี่มู่ทำให้เขาที่ฉลาดมากแผนการมาตลอดไม่มีปัญญาเดาได้เลยว่ายามนี้ท่านขุนนางเมืองคิดอะไรอยู่
เดิมทีเขาคิดไปว่าหลังฟังรายงานของตนแล้ว ขุนนางเมืองที่โกรธหุนหันพลันแล่นผู้นี้ต้องบันดาลโทสะ ตัดสินลงโทษโจวอู่และเจิ้งหลงซิง เพราะดูจากเรื่องพรรคเสินหนงในวันนี้ ขุนนางเมืองหนุ่มน้อยต้องมีนิสัยวู่วามเป็นแน่
ทว่า ปฏิกิริยาของหลี่มู่ในตอนนี้กลับทำให้เขาไม่มั่นใจ เกิดความกลัวขึ้นมาทีละน้อย
มีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
หม่าจวินอู่พาหมอจากโรงหมอคนหนึ่งมาเพื่อรักษาบาดแผลของหลี่มู่
หมอท่านนี้อายุประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างผอมบาง เขาเคยเห็นหลี่มู่ที่โรงหมอมาก่อน ตอนนั้นเขาทั้งโกรธ เฉยชา เศร้าเหมือนหัวใจตายด้าน เขาสิ้นหวังต่อโลกใบนี้แล้ว แต่ในเวลานี้ สายตาที่มองหลี่มู่กลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและเทิดทูน
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าขุนนางเมืองวัยเยาว์ผู้นี้จะลงมือจัดการพรรคเสินหนงด้วยตนเอง เพื่อแก้แค้นให้ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บในโรงหมอจริงๆ
หลังจากได้รับอนุญาต เขาตรวจอาการบาดเจ็บของหลี่มู่ ก็เกิดความประหลาดใจ และยิ่งเทิดทูนมากขึ้น
ลูกศรแทงทะลุกระดูก หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงเจ็บจนหมดสติไปนานแล้ว แต่หลี่มู่กลับกำลังกินเนื้อย่างโดยที่สีหน้าไม่แสดงความเจ็บปวด เป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ใต้เท้า ก่อนจะพันแผลต้องดึงลูกศรออก อาจจะสร้างความเจ็บปวดให้ท่านสักหน่อย ขอให้ท่านอดทนไว้” หมอท่านนี้เตรียมจะทำความสะอาดเศษเนื้อและกระดูกตรงปากแผลอย่างเบามือ
“อ้อ” หลี่มู่พยักหน้า “เดี๋ยวข้าทำเอง”
เขาหพลิกมือจับลูกศรเขี้ยวหมาป่า และดึงออกมาตรงๆ
เกิดเสียงดังพรวด เลือดพุ่งออกมา สาดไปถึงเฝิงหยวนซิงที่คุกเข่าอยู่หน้าเขา ทำให้นายทะเบียนผู้นี้ร้องตกใจพลางก้าวถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าหวาดกลัว แต่หลี่มู่ไม่ได้มองเขา กลับดึงธนูออกมาเช็ดเลือดกับเสื้อบนศพซือคงจิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วคว้าเนื้องูมาย่างกินต่อ
“ตอนนี้เจ้าพันแผลได้แล้วสินะ?” เขากัดสองสามคำ หันไปมองหมอที่ทำหน้าราวกับเจอผี เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “อยากกินสักไม้สองไม้ไหมเล่า เนื้องูอร่อยมากนะ”
“ไม่ๆๆ ขอรับ ใต้เท้า…ท่านนี่เหมือนเทพเซียนจริงๆ”
เมื่อหมอตั้งสติได้แล้วมองตาหลี่มู่ ก็ยิ่งรู้สึกเลือดร้อน ราวกับมองเห็นเทพ เขารีบลงมือพันแผลให้หลี่มู่ทันที
แต่โจวอู่และเจิ้งหลงซิงที่เห็นเหตุการณ์ ในใจรู้สึกหนาวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ขึ้นมาโดยพลัน
ขุนนางเมืองหนุ่มน้อยผู้นี้ช่างเป็นคนเหี้ยมโหดนัก
ลูกศรเขี้ยวหมาป่านั่นมีหนามแหลมอยู่ เมื่อดึงออกจึงกระชากเนื้อติดมาด้วย ปากแผลกลายเป็นโพรงเลือด หลี่มู่กลับยังคงนิ่งเฉย พลังใจและความเด็ดเดี่ยวของคนผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว คนประเภทนี้เป็นเด็กรุ่นเยาว์ที่ไหนกัน? หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ พวกเขาคงร่วมมือกันจัดการหลี่มู่ก่อน ไม่ควรหันมาฟาดฟันกันเองแบบนี้
ทั้งสองมองตากัน ภายในใจรู้สึกกระสับกระส่าย
ตอนนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว
ในเวลาต่อมา
หลี่มู่ทำแผลเสร็จเรียบร้อย
เขายืนขึ้นลูบๆ ท้องตัวเอง ร้องออกมาอย่างพึงพอใจแล้วกล่าวว่า “เอาละ กินอิ่มแล้ว สบายตัว”
หลังหันไปมองศพงูที่ยังเหลืออยู่เก้าในสิบส่วน เขาพูดกับหมิงเยวี่ยว่า “พอแล้ว แม่เด็กตะกละ หยุดกินได้แล้ว หาคนมาแบกงูตัวนี้กลับไปที่ว่าการ เจ้ายังกินได้อีกหลายวัน จำไว้ เก็บไว้ที่ห้องน้ำแข็งอย่าให้มันเน่าเสีย”
“เจ้าค่ะๆๆ” หมิงเยวี่ยที่กินจนท้องป่องแล้วยังคงกินอย่างตะกละตะกลาม
หลังจากเด็กโง่กินหมดไม้จึงค่อยยืนขึ้นอย่างพึงพอใจ มือขาวนุ่มนิ่มเช็ดปาก แล้วยิ้มตาหยีเรียกหม่าจวินอู่ จากนั้นนำองครักษ์หลายสิบนายแบกงูเขียวยักษ์ออกไปจากถ้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา