ไช่จือเจี๋ยขี่ม้ามาอย่างรวดเร็วจนมาถึงยังเบื้องหน้า เขาเห็นสภาพน่าเวทนาของอ๋องน้อยฉินก่อน สายตาก็เปลี่ยนไป ทว่าเมื่อเขาเห็นหลี่มู่ที่ใบหน้าฉายจิตสังหารยืนอยู่ข้างๆ หัวใจก็ยิ่งเต้นรุนแรง
ทำไมถึงเป็นเทพแห่งความตายองค์นี้เล่า
เขาตระหนักได้ว่าตัวเองเข้ามาพัวพันกับสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวเข้าเสียแล้ว
ต่อให้เขาใช้กำลังทหารของกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันออกอย่างเต็มที่ก็ทำอะไรหลี่มู่ไม่ได้ พลังที่หลี่มู่สำแดงออกมาตอนศึกโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก โดยเฉพาะหมัดสุดท้ายที่สังหารผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานซึ่งฝึกฝนพลังฟ้าประทานออกมาได้ในเสี้ยวพริบตา นี่ราวกับเป็นเทพมารแล้วชัดๆ
ศึกนั้นทิ้งความทรงจำฝังลึกในใจของไช่จือเจี๋ย ทำให้เขาเกิดความยำเกรงหลี่มู่ไปโดยสัญชาตญาณ
ทว่าถอยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
เขาบังคับม้าให้หยุด ในใจราวกับกินหนูตาย เดินเข้ามาไม่ถามอะไรฉินหลินเลยสักนิด แต่ประสานมือให้หลี่มู่แล้วเอ่ย “บังเอิญจริง ได้เจอกับใต้เท้าหลี่มู่ที่นี่…” ไช่จือเจี๋ยในใจก่นด่า
หลี่มู่มองเขา ไม่ได้พูดอะไร
ส่วนเจี่ยงปิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งใจสั่นสะท้าน ตอนนี้ถึงจะได้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้โหดเหี้ยมอำมหิตคนนี้เป็นใครกันแน่
มารดามันเถอะ เป็นเทพแห่งความตายองค์นี้เอง
หากรู้แบบนี้ก่อน…
เขาเสียใจนักที่ตัวเองไม่ได้ไปดูศึกของสำนักยุทธ์กระบี่สวรรค์ศึกนั้น จึงมองไม่ออกในทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ เซียนกวีหลี่มู่ ขั้นฟ้าประทานหนุ่มน้อยที่สร้างความฮือฮาทั่วเมืองฉางอัน คนที่ไม่รู้จักท่านผู้นี้ ตอนนี้ในเมืองฉางอันน่ากลัวว่าจะมีแค่ไม่กี่คนแล้วกระมัง?
หากรู้แต่แรกว่าเป็นหลี่มู่ เช่นนั้นเจี่ยงปิ่งไม่มีทางพูดแบบนั้นเด็ดขาด
คนที่รู้สึกแบบเดียวกันยังมีฉินหลินอีกคน
เขาก็เพิ่งจะตั้งตัวได้ในพริบตานี้เช่นกัน ว่าเด็กหนุ่มที่เหมือนคนบ้าผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร
ผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายกำลังรบขั้นฟ้าประทานที่อายุสิบห้า มิน่าเล่า วาจาจึงได้อวดดี ลงมือได้เหี้ยมโหดเช่นนี้
แต่เขากลับยิ่งโกรธเสียยิ่งกว่าโกรธ
หลี่มู่ก็แค่เหวินจิ้นซื่อตัวเล็กๆ เท่านั้น ขุนนางของจักรวรรดิ ตำแหน่งขุนนางที่ราชวงศ์แต่งตั้งขึ้น ขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์ หากดูจากลำดับขุนนางแล้วก็ตำแหน่งต่ำต้อยดั่งหนอน อยู่ต่อหน้าเขาที่มีตำแหน่งอ๋องน้อยกลับกล้าดูหมิ่นเขาเช่นนี้?
“บังเอิญหรือ? ใต้เท้าไช่ หากท่านมาขอร้องเพื่อเจ้าโง่นี่ เช่นนั้นก็อย่าเอ่ยเลยดีกว่า” หลี่มู่ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
สีหน้าของไช่จือเจี๋ยค่อนข้างย่ำแย่
หลี่มู่จะแข็งกร้าวเกินไปแล้ว
“ใต้เท้าหลี่ อ๋องน้อยฉินผู้นี้เป็นบุตรชายที่เจิ้นซีอ๋องแห่งจักรวรรดิโปรดปรานมากที่สุด ตำแหน่งสูงศักดิ์ หากเขาล่วงเกินอะไรใต้เท้าหลี่ ให้ลงโทษเล็กน้อยก็พอแล้ว ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อท่าน หากสุดท้ายเรื่องราววุ่นวายจนไม่อาจแก้ไขได้ เกรงว่าถึงตอนนั้นใต้เท้าหลี่จะรับผิดชอบไม่ไหว” ไช่จือเจี๋ยพูด
ในเมื่อเขามาแล้วก็ต้องพูด มิฉะนั้นถึงตอนนั้นเจิ้นซีอ๋องพิโรธกล่าวโทษขึ้นมา เขารับผิดชอบไม่ไหวหรอก
พูดจบ ไช่จือเจี๋ยก็เสริมอีกประโยคโดยมีความนัยลึกซึ้งว่า “ใต้เท้าหลี่พรสวรรค์เป็นเลิศ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก ไม่ว่าเรื่องใดก็ควรพิจารณาให้รอบคอบแล้วจึงค่อยลงมือ ไยจึงต้องวู่วามรีบร้อนเช่นนี้เล่า”
นี่เป็นการบอกหลี่มู่เป็นนัยว่า เจ้ามีพรสวรรค์ขนาดนี้ วันหน้าจะต้องดียิ่งขึ้นไปอีก ต้องมีสักวันที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่สายยุทธ์ของจักรวรรดิได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นก็สามารถทำอะไรได้ดั่งใจต้องการ ทำไมต้องรีบร้อนสร้างศัตรูด้วย?
อัจฉริยะต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก่อนหน้าที่ยังไม่เติบโตก็ล้วนอ่อนแอกันทั้งนั้น
หากตายไป เช่นนั้นก็เป็นแค่คนตายคนหนึ่งเท่านั้น
นี่นับว่าเป็นการคิดเพื่อหลี่มู่
ทว่าหลี่มู่กลับไม่คิดเช่นนั้น
ตอนนี้เขาปลดปล่อยออกมาโดยสิ้นเชิง
ความโกรธวันนี้จะต้องระบายออกมาให้ได้
หากวางมาดแค่ครึ่งทางก็รามือไป เช่นนั้นจะต่างอะไรกับคนโง่?
อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากความโกรธในใจวันนี้ไม่ได้ระบายออกมา อารมณ์จะหงุดหงิดนัก
หากใช้คำพูดที่ยิ่งอวดดีมาบรรยายก็คือจิตใจว้าวุ่น
นอกจากนั้นวิชาที่เขาฝึกยังเป็นวิชาเซียน การทะลวงขั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ทำไมต้องกลัวหัวหดด้วย ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ในที่ว่าการเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็สำเร็จระดับต้นแล้ว อย่างดีถึงตอนนั้นก็หดหัวอยู่ด้านใน จะมีใครฝ่าทำลายเข้ามาได้?
“ใต้เท้าไช่ ข้าเข้าใจที่ท่านพูด” หลี่มู่มองอีกฝ่ายพลางพูดอย่างจริงจัง
ไช่จือเจี๋ยก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว
หลี่มู่ดื้อดึงนัก
เขารู้สึกปวดฟันขึ้นมา
“ใต้เท้าหลี่ พลังของอ๋องน้อยนั้นไม่น้อยเลย ต่อให้เป็นขั้นฟ้าประทานในเมืองฉางอันก็อาจจะอัญเชิญมาได้ ใต้เท้าหลี่ไยต้องเอาทองไปรู่กระเบื้อง?” ไช่จือเจี๋ยยังเอ่ยโน้มน้าวด้วยความหวังดี
หลี่มู่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ใต้เท้าไช่ ท่านกับข้ามีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่ง ข้าถึงได้พูดดีๆ กับท่าน วันนี้ข้าขอบอกเอาไว้ ไม่ว่าใครจะมาก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น นอกเสียจากเขาคนนั้นจะเอาชนะข้าได้ วันนี้ข้าจะจัดการคน พูดแบบนี้ท่านคงเข้าใจแล้วกระมัง?”
ไช่จือเจี๋ยยิ่งรู้สึกปวดฟันกว่าเดิม
เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อหลี่มู่โมโหขึ้นมาจะดื้อดึงถึงเพียงนี้
พูดจนถึงขนาดนี้แล้ว หากพูดต่อไป หลี่มู่น่าจะแตกหักกันไปข้าง
แต่ให้ลงมือหรือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา