อ่านสรุป บทที่ 194 นักรบที่ตายไป จาก จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet
บทที่ บทที่ 194 นักรบที่ตายไป คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
หลี่มู่เดินอยู่ในสุสานทหาร จิตใจปลอดโปร่ง
ความปลอดโปร่งนี้ไม่ได้มาจากการสังหารคน แต่มาจากการที่เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงความสบายใจประเภท ‘เมื่อเห็นความอยุติธรรมต้องร้องปราม ควรลงมือก็ต้องลงมือ’
ร่ำเรียนยุทธ์ไปเพื่ออะไร?
คำถามที่เต็มไปด้วยปรัชญาการประพฤติตนนี้ ปราชญ์เมธียุคโบราณของจีนก็ได้พิสูจน์กันครั้งแล้วครั้งเล่า
สามารถทำเพื่อตอบแทนบุญคุณ ล้างแค้น ปกป้องตัวเอง เพื่อไม่ให้ถูกหยามหมิ่น เพื่อที่จะทำอะไรได้ดั่งใจ เพื่อความมั่นใจ เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องลำบาก…แต่สุดท้ายแล้วก็เพื่อปกป้องคน เรื่องราว หรือสิ่งของที่ตนอยากปกป้อง
วันนี้หลี่มู่สัมผัสได้ถึงความสุขแบบนั้นแล้ว
เขารู้สึกว่าในใจของตนพลันเกิดความกระจ่างแจ้งบางอย่างขึ้น
หลังจากต่อสู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ หลี่มู่ก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกแบบนี้
และจากเหตุการณ์ครั้งเมื่อครู่ ความกระจ่างแจ้งในใจก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ความกระจ่างเช่นนี้ก็คือ เขาตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ต้อง และก็ไม่ควรระแวดระวังเหมือนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆเช่นก่อนหน้านี้อีก
เพราะวิชาที่เขาฝึกฝนคือวิชาเทพเซียน หนทางที่เขาเดินต่างจากผู้แข็งแกร่งสายยุทธของโลกนี้อย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่แรก สิ่งที่เขาต้องให้ความสำคัญไม่ใช่แผ่นดินใหญ่เสินโจว แต่เป็นทั้งจักรวาลผืนฟ้าดารา
หากเอ่ยโดยใช้ประโยคที่วางมาดก็คือ การเดินทางของหลี่มู่คือมหาสมุทรห้วงดารา
ส่วนแผ่นดินใหญ่เสินโจวก็แค่บ่อปลาเท่านั้น
หากบ่อปลาแห่งนี้เขายังห่วงหน้าพะวงหลัง เช่นนั้นหากออกไปจากดวงดาวแล้วจะทำอย่างไร?
ข้อเท็จจริงพิสูจน์มาโดยตลอดแล้วว่า พลังของหลี่มู่มีแต่จะสูงกว่าที่เขาคิดไว้เสมอ
จะจิตใจพองโตก็ช่าง จะจิตใจกระจ่างแจ้งก็ช่าง หลี่มู่รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ จับทางที่ควรจะเดินบนโลกนี้ได้แล้ว
และความกระจ่างแจ้งของจิตใจเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าข้อติดขัดของการฝึกฝนที่รู้สึกได้รางๆ ในช่วงนี้คลี่คลายลงทีละนิดในที่สุด
‘บางทีการเปลี่ยนแปลงของจิตใจก็อาจมีบทบาทสำคัญต่อการฝึกฝนเป็นอย่างมาก’
หลี่มู่เดินไปตามทางเล็กๆ ในสุสาน
อยากจะเป็นผู้แข็งแกร่ง ก่อนอื่นก็ต้องมีใจอย่างผู้แข็งแกร่ง
ก็เหมือนกับแลมโบกินี่ต้องมีเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง
หลี่มู่รู้สึกว่าในกายของตนมีพลังประหลาดอย่างหนึ่งกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนกับกระแส ธารร้อนที่เกิดขึ้นเพราะดูการร่ายรำของฮวาเสี่ยงหรงสองครั้งก่อน ครั้งนี้เป็นความรู้สึกประหลาดที่ลึกลับพิสดาร ไหลเวียนอยู่ทั่วแขนขาองคาพยพ เห็นได้ชัดยิ่งว่าเกิดขึ้นเพราะจิตใจของเขา
ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าพลังกายของตนเอ่อล้นเดือดพล่าน เหมือนพลังมหาศาลที่พลังกายคอยสะกดไว้มาโดยตลอดจะปะทุออกมา
เขาเดินอยู่ในสุสานทหาร
สวนสุสานทหารลึกและเงียบสงบ
ระหว่างต้นสนเขียวมรกตร้อยปี ใต้ป้ายสุสานสีดำแต่ละแผ่น มีวิญญาณที่สู้รบตัวตายนอนหลับใหลอยู่
หน้าป้ายสุสานเหล่านั้นยังมีเครื่องเซ่นวางเอาไว้
จุดที่ยิ่งลึกเข้าไปยังได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้แว่วมา มีคนกำลังเซ่นไหว้คนในครอบครัวที่จากไปแล้ว
นี่เป็นสภาพแวดล้อมที่ทรงเกียรติและน่าเคารพ
ตอนที่ซินแสเฒ่าอยู่บนโลก โกหกหลอกลวง หลอกกินหลอกดื่ม แต่ไม่เคยกุเรื่องลวงโลกกับงานอวมงคล และทุกครั้งที่ต้องทำพิธีอวมงคลก็จะตั้งใจมาก ท่าทางเคารพเป็นอย่างยิ่ง หากใช้คำพูดของเขาพูดก็คือ คนตายที่จริงแล้วมีวิญญาณ ไม่ควรไปหลอกลวง ความตายก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่งเช่นกัน
และในตอนนี้ หลี่มู่มีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง
เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้รับความสนิทชิดเชื้อจากสวนสุสานแห่งนี้อย่างที่สุด
ความสนิทสนมแบบนี้ส่งออกมาจากต้นสนโบราณ ตามสุมทุมพุ่มไม้ กองก้อนหินรอบๆ ส่งออกมาจากเส้นทางที่ลึกเข้าไป จากป้ายสุสานแต่ละแผ่น จากหลุมสุสานแต่ละที่ ความรู้สึกแบบนี้คล้ายเป็นลางสังหรณ์ที่เกิดจากการฝึกฝนวิชาก่อนกำเนิดเสียจนสัมผัสว่องไวเกินไป แล้วก็เหมือนว่ามีอยู่จริงท่ามกลางฟ้าดิน
“หรือคนตายจะมีวิญญาณจริงๆ?”
หลี่มู่แปลกใจ
แต่คิดอีกที บางทีก็อาจจะจริง
เพราะเขาใช้วิชาเรียกวิญญาณฝืนเรียกวิญญาณของชิวอี้กลับมา ให้ชิวอี้อยู่ในสภาวะหล่อเลี้ยงวิญญาณ ในเมื่อโลกนี้มีผี นั่นไม่ได้หมายความว่าจะมียมโลกและโลกหลังความตายอะไรพวกนี้หรอกหรือ
หรือจะพูดว่ามีผู้ตายบางคน หลังจากสิ้นชีพไปแล้ววิญญาณไม่แตกสลาย หรือพูดอีกมุมหนึ่งคือมีบางคนเมื่อตายไปแล้ว ถึงแม้ความคิดจิตใจสลายไป วิญญาณดับสูญ แต่ก็ยังหลงเหลือพลังอ่อนจางเอาไว้กลุ่มหนึ่งในฟ้าดิน?
ตอนนี้ตนสัมผัสได้ถึงความสนิทชิดเชื้อแบบนั้นได้ บางทีอาจเป็นเพราะพลังงานของผู้ตายบางคนที่ยังหลงเหลืออยู่ส่งความเป็นมิตรมาให้?
แต่ว่า ทำไมพลังงานของผู้ตายที่อยู่ข้างในนี้จึงส่งความเป็นมิตรมาให้ตนเล่า?
หลี่มู่คล้ายกำลังครุ่นคิดระหว่างทางที่เดินลึกเข้าไป
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในสวนสุสาน เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นมิตรที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในบริเวณทั้งหมดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่บอกชัดว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่คิดไปเอง
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?
‘หรือเป็นเพราะคำพูดกับเรื่องที่เราทำลงไปหน้าอนุสาวรีย์?’
หลี่มู่คิดถึงความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว
เขาสัมผัสได้ว่าพลังงานของผู้ตายที่แฝงด้วยความเป็นมิตรมาด้วยนี้ เป็นไปได้มากว่าอาจจะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของตน
เพียงแต่ จะใช้อย่างไรเล่า?
หลี่มู่มาถึงตรงกลางสุดของสวนสุสาน
เทียบกับทหารทั่วไปแล้ว เงาเลือดละอองหมอกของขุนพลเหล่านี้ดูสมจริงยิ่งกว่า คลื่นพลังงานแข็งแกร่งกว่า ชัดเจนยิ่งกว่า หากไม่ใช่ว่าสีผิดปกติก็ไม่ต่างอะไรกับคนปกติสักเท่าไหร่จริงๆ
“หลับไปร้อยปี คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนเหนี่ยวนำฮวงจุ้ยพลังฟ้าดินในสุสานนี้ และมองเห็นพวกเรา…” ขุนพลที่เป็นหัวหน้าสวมเสื้อเกราะ รูปร่างโบราณยิ่งนัก เป็นรูปแบบเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ทั่วร่างลุกท่วมด้วยเปลวไฟ ตอนมีชีวิตน่าจะโดนไฟเผาทั้งเป็น มือถือดาบยาวซึ่งเต็มไปด้วยเปลวไฟเช่นกัน เขาหยุดลงห่างจากหลี่มู่ประมาณสามจั้ง
ดาบยาวเปลวเพลิงในมือเขาชี้ขึ้นฟ้า เงานักรบผู้พลีชีพทั้งหมดรอบด้านหยุดลง
บัญชาการให้หยุด!
นักรบที่ตายไปล้วนเป็นกองทัพทหาร
หลี่มู่นิ่งเงียบไม่พูดจา คอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
“ข้าหนิงเชวีย ผู้บังคับบัญชากำลังเทพภายใต้มหาจักรพรรดิกวงอู่ เด็กหนุ่ม เจ้าเป็นใคร?” เสียงของขุนพลอัคคีดังขึ้นในหัวของหลี่มู่
เขาสามารถสื่อสารกับคนเป็นได้ เห็นได้ชัดว่ารักษาความคิดจิตวิญญาณเอาไว้ได้ดีเพียงใด
นี่เป็นวิญญาณหรือภูตที่ฝึกบำเพ็ญกันแน่?
หลี่มู่สงสัย
หนิงเชวีย?
ชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหู
ใช่แล้ว เหมือนว่าจะเป็นบรรพบุรุษของขุนพลจวนสกุลหนิงในเมืองฉางอัน
ว่ากันว่าตอนนั้นหนิงเชวียแห่งตระกูลหนิงเคยเป็นหนึ่งในขุนพลที่กล้าหาญเก่งกาจที่สุดภายใต้จักรพรรดิกวงอู่ ได้รับความสำคัญเป็นอย่างมาก ภายหลังตายในสงคราม จักรพรรดิกวงอู่แต่งตั้งให้ด้วยตนเอง ซุ้มประตูที่ใหญ่ที่สุดในสวนสุสานทหารแห่งนั้นก็มีเพื่อระลึกถึงท่านผู้นี้
เป็นเขานี่เอง
“ข้าคือขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก หลี่มู่” หลี่มู่โคจรพลังจิตวิญญาณตอบกลับไป
“ขุนนางเมืองตัวเล็กๆ?” ขุนพลอัคคีเหมือนแปลกใจมาก “ไม่ใช่คนของสำนักเทพ?”
คนของสำนักเทพน่าจะหมายถึงสำนักเทพทั้งเก้า
หลี่มู่ส่ายหน้า
“ไม่ใช่คนของสำนักเทพแล้วมองเห็นพวกเราได้อย่างไร?” เขาประเมินหลี่มู่อย่างสงสัย
จากนั้นก็มองไปยังเหล่าสหายคนอื่นๆ โดยรอบที่แต่งตัวเป็นขุนพลเหมือนกัน
เงาเลือนรางลักษณะอย่างขุนพลร่างอื่นๆ สวมเสื้อเกราะต่างกันไป เป็นรูปแบบในแต่ละยุคของจักรวรรดิฉินตะวันตก เห็นได้ชัดว่าตายในยุคต่างกัน คลื่นพลังงานเข้มข้นแข็งแกร่งยิ่ง มีขุนพลอัคคีเป็นหัวหน้า ยามนี้กำลังซุบซิบอะไรบางอย่างกัน
………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา