จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 195

หลี่มู่ไม่ได้พูดอะไร แต่สังเกตอย่างละเอียด

สภาวะของเขาในตอนนี้ประหลาดมาก

ขณะยังไม่ชัดเจน เขาสามารถสัมผัสได้ว่าตัวเองในตอนนี้น่าจะไม่ได้อยู่ในสภาวะกายเนื้อ แต่อยู่ในสภาวะร่างวิญญาณอย่างหนึ่ง และสื่อสารกับวิญญาณที่สู้รบพลีชีพเหล่านี้ สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าพลิกมุมมองต่อโลกของหลี่มู่อย่างไม่ต้องสงสัย

หรือในโลกนี้จะมีโลกหลังความตายจริงๆ?

หลี่มู่คิดแบบนี้ และก็กำลังขบคิดความหมายในคำพูดของขุนพลอัคคี ความนัยก็คือคนของสำนักเทพมองเห็นพวกเขาได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าคนของสำนักเทพรับรู้ตัวตนของวิญญาณนักรบในสุสานเหล่านี้ ดังนั้นเบื้องหลังต้องมีอะไรซ่อนอยู่หรอกหรือ?

เขารู้สึกเลาๆ ว่าตัวเองเหมือนจะเจอเรื่องอะไรที่สุดยอดเข้าแล้ว

“เด็กหนุ่ม คำพูดและการกระทำของเจ้าหน้าอนุสาวรีย์วันนี้ พวกเราเห็นหมดแล้ว”

“ขอบใจเจ้ามาก”

“เจ้าปกป้องเกียรติยศของพวกเราเหล่าวิญญาณนักรบ”

“ไม่มีใครตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของอนุสาวรีย์ทหารกล้าแห่งนี้มานานมากแล้ว เด็กหนุ่ม การกระทำของเจ้าในวันนี้ช่วยเทิดทูนเกียรติให้อนุสาวรีย์แห่งนี้ เจ้าได้รับการยอมรับจากพวกเรา”

“ฉินหลินเสียทีที่เป็นลูกหลานของสกุลฉิน น่าละอายต่อสายเลือดในกายนัก สมควรตาย”

“แล้วก็ยังมีเจี่ยงปิ่งนั่นอีก ไอ้พวกเหลือบริ้น ฆ่าได้ดี”

เงาวิญญาณเลือนรางของเหล่าขุนพลพากันเอ่ยปาก

หลี่มู่ตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนเดานั้นถูกต้อง

เหตุที่ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ใกล้ชิดสนิทสนมในสวนสุสานทหาร ก็เพราะสิ่งที่ตนทำไปทั้งหมดหน้าอนุสาวรีย์ นี่ช่างเป็นผลประโยชน์ที่เกินความคาดหมายจริงๆ ใครจะไปคิดว่าโลกใบนี้จะมีเรื่องอัศจรรย์อะไรเช่นนี้ด้วย?

พวกฉินหลินได้ชื่อว่าปกป้องสุสาน แต่แท้จริงแล้วกลับสร้างหายนะที่สวนสุสานทหาร ขูดรีดทรัพย์สินของญาติพี่น้องคนในครอบครัวของเหล่าทหารผู้พลีชีพ ทำบาปทำกรรม ฟ้าพิโรธคนเคียดแค้น วิญญาณของเหล่าทหารพลีชีพย่อมโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง

แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่ลงมือ?

เพราะไม่อยากเปิดเผยตัวตนของพวกเขา?

หรือเพราะสภาวะของพวกเขาไม่อาจก้าวก่ายผู้มีชีวิตได้?

หลี่มู่ไม่อาจแน่ใจได้ในตอนนี้

“เด็กหนุ่ม พวกเราขอบใจเจ้ามาก แต่ว่าขอให้เจ้าเก็บทุกสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้เป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด มิฉะนั้นไม่ว่าเจ้าหรือพวกเราจะต้องเจอกับหายนะ เข้าใจรึไม่?” ขุนพลอัคคีเอ่ยปาก สำหรับพวกเขา การที่หลี่มู่พบเห็นพวกเขาเป็นสิ่งเกินคาด

นี่ก็เหมือนกับคนที่แต่เดิมซ่อนอยู่ในความมืด คิดว่าไม่ถูกเจอตัวแน่ๆ สุดท้ายจู่ๆ มีลำแสงพุ่งมา หลบไม่ทันถูกส่องเข้า สุดท้ายก็ถูกเจอตัวจนได้

หลี่มู่คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะพูด “เรื่องนี้ย่อมแน่นอน”

เรื่องแบบนี้พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก

อีกทั้งขอแค่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเท่าไหร่ เขาก็ขี้เกียจจะเที่ยวป่าวประกาศไปทั่ว

“เพื่อเป็นการขอบคุณต่อทุกสิ่งที่เจ้าทำหน้าอนุสาวรีย์ในวันนี้ พวกเราจะชดเชยอะไรให้เจ้าเล็กน้อย…” ขุนพลอัคคีเอ่ย “เด็กหนุ่ม เจ้าอยากได้อะไร?”

โอ๊ะ?

มีค่าตอบแทนแบบนี้ด้วย?

หลี่มู่แปลกใจมาก

เพียงแต่คนที่ตายไปแล้วเหล่านี้จะมอบรางวัลอะไรให้ได้?

หลี่มู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบไปอย่างไม่ลังเล “ข้าอยากได้…พลัง”

คำตอบนี้เหมือนจะอยู่ในการคาดการณ์ของพวกขุนพลอัคคีอยู่แล้ว

“สวนสุสานทหารเป็นถึงที่ที่ฮวงจุ้ยฟ้าดินเข้มข้นมากที่สุดทั่วทั้งเมืองฉางอัน เส้นชีพจรศักดิ์สิทธิ์ใต้ดินหนาแน่น หากเจ้าดูดซับมาแล้วหลอมเข้าไปในกายได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นปราณแท้ในกาย ช่วยเสริมพละกำลัง ช่วยเจ้าฝึกฝนพลังฟ้าประทานออกมาได้” ขุนพลอัคคีกล่าว “แต่ว่าเจ้าจะต้องหาวิธีเอาเอง เพราะวิธีผสานพลังฟ้าดินเข้าไปในกาย พวกเราก็ไม่มีเหมือนกัน”

นี่เท่ากับบอกว่าพลังอยู่ใต้ดินนี้เอง หากมีความสามารถเจ้าก็เอาไป หากไม่มีความสามารถ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีวิธีช่วยเช่นกัน

‘โอ้โห นี่มันปั้นน้ำเป็นตัวชัดๆ เป็นเรื่องหลอกลวงนี่นา นี่มันรางวัลที่ไหนกัน

คนตายพวกนี้กลายเป็นวิญญาณไปหมดแล้ว ยังจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้อีก’

หลี่มู่เหยียดหยามอยู่เงียบๆ ในใจ

เห็นหลี่มู่เงียบงันไม่พูดจา พวกขุนพลอัคคีรู้สึกอายเล็กน้อย จึงเอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “เรื่องนี้พวกเราไม่มีวิธีพิเศษช่วยเจ้าจริงๆ ต้องดูที่วาสนาของเจ้าเท่านั้น แน่นอน เพื่อเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ พวกเราจะให้คำสัญญากับเจ้าหนึ่งข้อ วันข้างหน้าหากมีอะไรต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา กองทัพที่หลับใหลในสุสานจะช่วยเจ้าครั้งหนึ่ง”

สร้างฝันหวานหลอกลวงอีกแล้ว

‘คนตายกลุ่มหนึ่งจะช่วยอะไรเราได้ล่ะ?’

หลี่มู่จนคำพูด เขาเอ่ยถาม “เช่นนั้น หากข้าสกัดพลังฟ้าดินพวกนั้นได้ คำสัญญานี้จะยังมีผลอีกหรือไม่?”

ขุนพลอัคคีเอ่ยอย่างใจกว้าง “แน่นอน ไม่ว่าเจ้าจะดูดซับพลังฟ้าดินได้หรือไม่ คำสัญญานี้ก็มีผลเสมอ”

ใบหน้าของหลี่มู่ฉายรอยยิ้มสว่างสดในราวดอกเบญจมาศแย้มบานทันที

“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านขุนพลมาก”

พวกของขุนพลอัคคีเห็นรอยยิ้มของเขา ไม่รู้ว่าทำไม ในใจพลันเกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก เหมือนโดนหลอกเข้าเสียแล้ว

สุดท้าย เสี้ยวเงาละอองหมอกสีเลือดรอบๆ ก็ค่อยๆ เลือนหายไป

นักรบที่ตายไปแล้วเหล่านี้เหมือนกลายเป็นพลังงานเป็นกลุ่มก้อนที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แล้วหายไปในฟ้าดิน

และหลังจากที่พวกเขาหายไป กลิ่นอายสีเลือดจางๆ ท่ามกลางทิวทัศน์ในครรลองสายตาของหลี่มู่ก็หายไป ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ

สุดท้าย วิญญาณระดับขุนพลอย่างพวกขุนพลอัคคีก็หันกายจากไป

วันนี้พวกเขาถูกเนตรสวรรค์ของหลี่มู่กวาดพบ ไม่ต้องพูดถึงว่าเจอร่องรอย ที่สำคัญยิ่งกว่าคือพลังวิญญาณของทหารธรรมดานับพันนับหมื่นในสวนสุสานทหารแตกตื่นฮือฮาเพราะหลี่มู่สังหารพวกฉินหลินที่หน้าอนุสาวรีย์ ทำให้เกิดความเป็นมิตรกับหลี่มู่ นี่ก็คือขวัญกำลังใจของทหาร วิญญาณของพวกขุนพลอัคคีและขุนพลคนอื่นๆ ปกครองวิญญาณในสุสานเสมือนควบคุมกองทัพ ไม่อาจขัดต่อกำลังใจของทหารได้ ดังนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดคิดนี้ขึ้น

หลี่มู่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าป้ายสุสานพลันลืมตาขึ้นมา

เพียงชั่วพริบตาที่ลืมตาขึ้น ก็ราวกับวันเวลาไหลผ่าน

เบื้องหน้า ต้นสนเขียวขจี เส้นทางยาวตรงที่เงียบสงบ นกที่โผบินต่ำ…ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ

ทุกอย่างก่อนหน้านี้ประหนึ่งภาพมายา

หลี่มู่สัมผัสได้อย่างว่องไวว่าเมื่อครู่เหมือนผ่านไปเนิ่นนาน แต่แท้ที่จริงแล้วความจริงผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ยามที่เขานั่งขัดสมาธิ บนพื้นหินด้านหน้ามีแมลงตัวหนึ่งกำลังไต่ไปข้างหน้าอย่างขะมักเขม้น ตอนนี้เมื่อลืมตาขึ้น แมลงตัวนี้ก็ยังคงไต่ผ่านไปแค่หนึ่งถึงสองมิลลิเมตรเท่านั้น

เวลาในโลกแห่งความตายหมุนไม่เท่าโลกแห่งความเป็นจริง?

หลี่มู่ลุกขึ้นยืนช้าๆ

ร่างของเขาเพียงกระโดดก็มาถึงบนยอดไม้โบราณต้นหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองสภาพแวดล้อมทั่วทั้งสุสาน

เขาเปิดเนตรสวรรค์ มองไปอีกครั้งหนึ่ง หลี่มู่ก็พบอะไรใหม่

สิ่งที่ขุนพลอัคคีพูดมาไม่ผิดจริงๆ ผ่านชั้นดินลึกลงไปราวยี่สิบสามสิบจั้งจะมองเห็นกระแสพลังงานที่ทะลักล้นราวกับแม่น้ำหลายสายใต้ดิน มีทั้งหมดยี่สิบสาย ไหลจากใต้ดินทั่วทุกทิศทางของเมืองฉางอันมารวมที่สุสานแห่งนี้พอดี

ผ่านชั้นผิวดินลงไปก็สัมผัสได้ถึงการไหลของกระแสพลังงานนี้

“นี่ก็คือฮวงจุ้ยพลังฟ้าดิน?”

หลี่มู่ตกตะลึง

ตอนอยู่ที่โลก สิ่งที่เรียกว่าฮวงจุ้ยซึ่งซินแสเฒ่าให้ความสำคัญมาก อีกทั้งปรมาจารย์ฮวงจุ้ยหลายคนเดินรอยตาม นับเป็นผลงานจากภูมิปัญญาของยุคโบราณ ถึงแม้คนยุคปัจจุบันมากมายไม่ยอมรับ แต่ที่จริงแล้ววิชาฮวงจุ้ยมีอยู่ทุกที่

โลกเป็นดาวที่พลังวิญญาณแห้งขอด ดังนั้นวิชาฮวงจุ้ยจึงยากที่จะสำแดงฤทธิ์

เช่นนั้นดาวดวงนี้เล่า?

ฮวงจุ้ยหมายถึงลมและน้ำ ขุนเขาสายน้ำ ลักษณะภูมิประเทศสูงต่ำ การจัดวางไกลใกล้ พูดโดยสรุปแล้วที่จริงก็คือการใช้พลังงานอย่างหนึ่ง

พื้นที่ฮวงจุ้ยแฝงไว้ด้วยพลังงานมหาศาล

กัวอวี่ชิงเคยพูดเอาไว้ เหตุที่หลี่มู่ฝึกฝนกำลังภายในออกมาไม่ได้ เป็นไปได้มากว่าเพราะพลังวิญญาณของดาวดวงนี้อยู่ระดับต่ำเกินไป และความแข็งแกร่งของกายเนื้อเขาอยู่ในระดับสูงเกินไป ดังนั้นจึงไม่อาจฝึกฝนกำลังภายในที่เหมาะสมกับร่างกายของเขาได้

ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมหน่อยคือ รถแข่งระดับบูกัตติ เวย์รอน[1]ต้องใช้น้ำมันคุณภาพสูงถึงจะระเบิดแรงออกมาได้ แต่หากใช้น้ำมันดิบที่ไม่ได้ผ่านการกลั่น คิดจะให้มันวิ่งก็ยิ่งเป็นแค่ความฝัน

หลี่มู่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

แต่หากจะไปหาแดนเซียนที่มี ‘น้ำมันคุณภาพสูง’ ก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน

ก่อนอื่นคือแดนเซียนทั้งหลายที่ถูกค้นพบแล้ว เหล่าสำนักระดับสุดยอดที่รากฐานล้ำลึกเก่าแก่เหล่านั้นก็ยึดครองแบ่งเป็นส่วนเรียบร้อย ต่อมาคือแดนเซียนในตำนานบางแห่งที่เหลืออยู่ โดยพื้นฐานแล้วอยู่ในสถานที่ต้องห้ามแห่งความตาย พลังของเขาในตอนนี้มีชีวิตเข้าไปได้ แต่ไม่มีชีวิตกลับออกมา ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก

นี่ก็คือปัญหาที่คอยรบกวนหลี่มู่ตลอดมา

แต่ว่าตอนนี้ จู่ๆ หลี่มู่กลับมีแนวคิดอีกอย่าง

ในเมื่อแดนเซียนหายากนัก ทำไมจึงไม่เริ่มจากวิชาฮวงจุ้ยเสีย

เขามีเนตรสวรรค์ สามารถมองทะลุชั้นดิน มองเห็นชีพจรมังกรที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน

และพลังวิญญาณในชีพจรมังกรแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ารวมตัวกันได้ดียิ่งกว่าพลังวิญญาณที่ลอยสะเปะสะปะในฟ้าดิน ระดับความบริสุทธิ์ก็สูงกว่าเช่นกัน เขาน่าจะนำมาใช้ได้ หากสามารถนำพลังในชีพจรมังกรผสานเข้ามาในกาย เช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าปัญหาใหญ่สุดที่เจอระหว่างฝึกยุทธ์นับตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ก็จะแก้ไขได้แล้วหรือ?

หลี่มู่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้ทำได้

คำพูดของขุนพลอัคคีชี้ทางให้แนวคิดหลี่มู่โดยสิ้นเชิง

แต่ว่า หลี่มู่ไม่ได้ลองดูดซับพลังจากชีพจรมังกรฮวงจุ้ยฟ้าดินนี้ทันที

เขาต้องกลับไปนึกย้อนจัดระเบียบคำพูดเกี่ยวกับทฤษฎีวิชาฮวงจุ้ยที่ซินแสเฒ่าเคยบอกไว้ให้ดีๆ ก่อน เพื่อรับประกันว่าจะประสบความสำเร็จในการดูดซับพลังจากชีพจรมังกรฮวงจุ้ยฟ้าดินครั้งแรก

ในขณะเดียวกัน วันนี้สังหารฉินหลิน ก็เท่ากับสร้างศัตรูที่น่ากลัวแล้ว

ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปเตรียมการรับมือบางอย่าง ให้คนในครอบครัวและมิตรสหายข้างกายได้รับหลักประกันความปลอดภัยในชีวิต เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งก่อนที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ถูกโจมตี ทำให้พวกหม่าจวินอู่ เฝิงหยวนซิง และคนอื่นๆ บาดเจ็บหนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม

แน่นอน ต้องรีบส่งแม่เฒ่าไช่ย่าหลานและพวกอู๋เป่ยเฉินทั้งหกคนออกไปให้เร็วที่สุด

หลังจากแนวคิดชัดแจ้งดีแล้ว หลี่มู่ก็ลงมือทันที

หลังจากนั้นประมาณครึ่งก้านธูป เขาก็รอแม่เฒ่าไช่ย่าหลานและพวกอู๋เป่ยเฉินทั้งหกคนกราบไหว้เสร็จเดินออกมา

“ใต้เท้า…” อู๋เป่ยเฉินและพวกทำความเคารพ ไป๋ฟูจ่างอู๋เป่ยเฉินถามอย่างนอบน้อมยิ่งว่า “เรื่องข้างนอกจัดการเรียบร้อยแล้วหรือขอรับ? ไม่ทราบว่าอ๋องน้อยฉินคนนั้น…”

หลี่มู่หัวเราะ ตอบว่า “ฆ่าไปแล้ว”

……………………………………………………

[1] บูกัตติ เวย์รอน เป็นรถยนต์ 2 ประตู 2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศสบูกัตติ เคยได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊กว่าเป็นรถที่เร็วที่สุดในโลก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา