จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 196

“อะไรนะ?”

“หา?”

“นี่…”

ต่อให้ทหารชายแดนทั้งหกคนเป็นพวกเลือดร้อนดื้อรั้น แต่เมื่อได้ยินข้อมูลเช่นนี้ก็ยังตะลึงงันอย่างจัง นั่นเป็นถึงอ๋องน้อยคนหนึ่งเชียวนะ พูดว่าจะฆ่าก็ฆ่าจริงๆ?

ท่านที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่

หลี่มู่พูดขึ้น “เพียงแต่เรื่องนี้พวกท่านอาจถูกลากเข้ามาพัวพันด้วย ถ้ายังอยู่ในเมืองฉางอันต่อไป หากจวนเจิ้นซีอ๋องมาแก้แค้น เกรงว่าพวกท่านยากจะรอดไปได้ ไม่ทราบว่าทุกท่านมีแผนอย่างไร?”

“เรื่องนี้…” อู๋เป่ยเฉินคิดครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันพูด “พวกเรายินดีเป็นพยานให้ใต้เท้าว่าฉินหลินทำผิดทำนองคลองธรรม เป็นภัยต่อสุสานทหาร… ”

อู๋เป่ยเฉินกลับเป็นลูกผู้ชายดี

ก่อนหน้านี้ที่พวกอู๋เป่ยเฉินก้าวออกมาช่วยแม่เฒ่าไช่ หลี่มู่ก็รู้สึกดีกับทหารชายแดนที่เลือดร้อนเหล่านี้แล้ว ตอนนี้ได้ยินว่าอู๋เป่ยเฉินมีความกล้าที่จะเป็นพยานให้กับตน ก็อดมองเขาสูงขึ้นไปอีกไม่ได้

ชายชาติทหาร ซื่อสัตย์ยุติธรรม เลือดร้อนฮึกเหิม

แต่ว่าหลี่มู่โบกมือทันที ตัดบทคำพูดของอู๋เป่ยเฉิน “ทำแบบนี้ไม่มีความหมาย จะเป็นพยานไม่เป็นพยาน เรื่องจริงจะเป็นอย่างไร ใครผิดใครถูก สำหรับพวกชนชั้นสูงของจักรวรรดิในยามนี้มันไม่สำคัญเลย เจิ้นซีอ๋องก็ไม่มีทางฟังเรื่องพวกนี้เช่นกัน ในเมื่อทุกท่านเป็นทหารชายแดน ตอนนี้เซ่นไหว้เสร็จแล้วมิสู้รีบกลับไปยังเขตชายแดนเสีย ที่นั่นน่าจะมีหลักประกันอะไรบ้างกระมัง?”

อู๋เป่ยเฉินได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว ถึงแม้มือของเจิ้นซีอ๋องจะยาว แต่ไม่มีทางยื่นไปถึงเขตชายแดนแน่ ที่นั่นคือใต้ผืนฟ้าของพวกเราทหารชายแดน”

หลี่มู่ได้ยินก็โล่งใจ “เช่นนั้นก็ดี งั้นตอนนี้ข้าจะส่งทุกท่านออกไปจากสุสาน จากนั้นท่านทั้งหลายก็รีบเร่งเดินทางไปยังเขตชายแดน เมื่อขั้วอำนาจของเจิ้นซีอ๋องมีปฏิกิริยากลับมา ถึงตอนนั้นก็หลุดพ้นแล้ว”

“เช่นนั้นแม่เฒ่าไช่สองย่าหลานเล่า?” อู๋เป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย “ใต้เท้า ข้าน้อยมีเรื่องอยากขอร้อง ขอให้ใต้เท้าโปรดรับปากด้วย”

หลี่มู่บอก “เชิญพูดมา”

อู๋เป่ยเฉินมองไปยังแม่เฒ่าไช่สองย่าหลานแล้วจึงกล่าว “ก่อนหน้านี้ที่ไปเซ่นไหว้กัน ยามคุยกับแม่เฒ่าไช่จึงได้รู้ว่าที่แท้ แม่เฒ่าไช่คือมารดาของใต้เท้าไช่คังหย่งผู้มีบุญคุณช่วยที่ชีวิตพวกเราทั้งหก เมื่อสี่ปีก่อนในสงครามยามกลางคืนครั้งหนึ่ง ใต้เท้าไช่ช่วยชีวิตพวกเราทั้งหกไว้ จึงได้พลีชีพไปในสงคราม ก่อนใต้เท้าไช่จะตายได้บอกกับพวกเราไว้ว่าชายชาตรีพลีชีพในสงคราม ตายเพราะสังหารศัตรู ถึงจะตายก็ไม่เสียดาย มีเพียงภรรยา บุตรสาว และมารดาแก่เฒ่าที่ปล่อยวางไม่ลง จึงขอร้องให้พวกเราพี่น้องทั้งหกช่วยดูแล แต่สี่ปีที่ผ่านมานี้สงครามชายแดนตึงเครียด พวกเราพี่น้องถอนตัวไปไม่ได้เลย วันนี้แต่เดิมคิดว่าจะมาเซ่นไหว้สุสานของใต้เท้าไช่ก่อน จากนั้นจะไปตามหาแม่เฒ่าไช่ที่ตำบลสุขสงบ ใครจะรู้ว่าจะได้เจอกันในสถานการณ์แบบนี้ พวกเราหกคนพี่น้องอยากพาแม่เฒ่าไช่และไช่ไช่ไปดูแลที่ชายแดน ชายแดนถึงแม้จะยากลำบาก แต่พวกเราพี่น้องขอสาบาน รับประกันได้ว่าพวกนางทั้งสองจะมีกินมีใช้ไม่ลำบาก และยังจะอบรมไช่ไช่ด้วย…”

เขตชายแดนก็ไม่ใช่ค่ายทหารเสียทีเดียว ชายแดนหลายแห่งสร้างเป็นเมืองใหญ่ มั่นคงดุจขุนเขา คนฉินที่ดำรงชีวิตในนั้นเคยชินกับชีวิตอย่างทหาร มีชีวิตดีกว่าประชาชนในเขตจักรวรรดิด้วยซ้ำ

ที่แท้ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย

หลี่มู่ฟังจบก็ตกใจ

เช่นนั้นแล้วอู๋เป่ยเฉินกับพ่อของไช่ไช่เคยมีความสัมพันธ์แบบผู้บัญชาการกับผู้ใต้บังคับบัญชา อีกทั้งยังมีหนี้บุญคุณช่วยชีวิตกับพ่อของนางด้วย ที่แท้ก็มีเรื่องราวในอดีตอยู่ก่อนนานแล้ว

“หากแม่เฒ่าไช่กับไช่ไช่ยินดีไปชายแดน แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีความเห็นอะไร” หลี่มู่พูด

เรื่องเช่นนี้เขาไม่มีอำนาจในการพูด ดังนั้น จริงๆ แล้วอู๋เป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องมาถามเขาเลย

“ก่อนหน้านี้แม่เฒ่าไช่กับไช่ไช่ได้ตกลงกันแล้ว” อู๋เป่ยเฉินโล่งใจ

เพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นแม่เฒ่าไช่สองย่าหลานดูสนิทสนมกับหลี่มู่มาก ยังคิดว่าหลี่มู่จัดเตรียมที่ทางให้สองย่าหลานนี้แล้ว พวกเขาทั้งหกมีใจอยากจะกตัญญูดูแลแทนหัวหน้าที่ตายไป แต่กลัวว่าจะขัดแย้งกับการเตรียมการของหลี่มู่ ดังนั้นจึงถามเช่นนี้

“ใช่แล้ว พี่ชาย ข้ากับท่านย่าจะตามพวกท่านอาอู๋ไปที่ที่ท่านพ่อเคยสู้รบ” ไช่ไช่ร้องไห้จนขอบตาแดง เห็นได้ชัดว่า เมื่อครู่ที่ไหว้สุสานบิดาเสียใจเป็นหนักหนา นางเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเรียวที่ผอมจนผิดรูปเผยความเด็ดเดี่ยวที่เกินอายุของนางไปไกล “ไช่ไช่อยากจะไปดูที่นั่นหน่อย บางทีอาจได้ฟังเรื่องของท่านพ่อมากขึ้น”

หลี่มู่ถอนหายใจ ลูบหัวของเด็กสาวเบาๆ

โชคชะตาช่างไม่ยุติธรรมกับเด็กน้อยใสซื่อจิตใจดีคนนี้จริงๆ

“ไต้ซือเหลวไหล ขอบคุณที่ท่านช่วยยายแก่ๆ คนนี้หลายต่อหลายครั้ง ข้ากับไช่ไช่ไม่เหลืออะไรแล้ว ตำบลสุขสงบก็กลับไปไม่ได้อีก พ่อหนุ่มอู๋เป็นคนดี ไช่ไช่อยากไปชายแดน ข้ายายเฒ่าคนนี้เอาชีวิตแก่ๆ ไปทิ้งไว้ที่นั่นก็ไม่เป็นไร…” แม่เฒ่าไช่พูดอย่างเสียใจ “หากท่านมีโอกาสได้พบกับเทพธิดาชุดขาวคนนั้นละก็ ได้โปรดบอกนางที ทองก้อนนั้นหากข้ากับไช่ไช่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องคืนให้นางแน่นอน”

สามีของนาง ลูกชายทั้งสามของนาง ทั้งหมดล้วนพลีชีพเพื่อจักรวรรดิฉิน นางเศร้าระทมเหลือเกิน

“แม่เฒ่าไช่รักษาตัวด้วย” หลี่มู่ดึงตั๋วทองออกมาสองใบ เป็นจำนวนน้อยๆ ที่แลกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทุกใบเป็นจำนวนห้าร้อยตำลึงทอง มอบให้แม่เฒ่าไช่หนึ่งใบ ส่วนอีกใบหนึ่งให้อู๋เป่ยเฉิน “ด่านชายแดนหนทางยาวไกล ขอให้ทุกท่านเดินทางราบรื่นปลอดภัย”

แม่เฒ่าไช่และอู๋เป่ยเฉินปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่เก็บเอาไว้

หลี่มู่คิดๆ ดูแล้วก็มอบจี้หยกให้ไช่ไช่น้อยชิ้นหนึ่ง ใส่ให้นางกับมือ ก่อนจะพูดขึ้น “ของขวัญเล็กๆ ชิ้นนี้ถือเสียว่าพี่ชายมอบยันต์คุ้มกายให้เจ้าก็แล้วกัน เจ้าใส่ติดตัวเอาไว้ ในนี้มีวิชาเวทของข้าเสริมพลังเอาไว้ มันยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว หากเจอกับอันตรายมันจะปกป้องเจ้าได้ ”

“ขอบคุณพี่ชายเจ้าค่ะ” ไช่ไช่เช็ดน้ำตา

นับแต่ที่ท่านพ่อจากไป ท่านแม่หายตัวไป นอกจากท่านย่าแล้วก็มีพี่ชายเบื้องหน้าคนนี้ที่ทำดีกับนางที่สุด

แน่นอน นางในตอนนี้ไม่รู้ว่าจี้หยกที่หลี่มู่มอบให้นาง แท้จริงแล้วราคาล้ำค่าเพียงใด

จุดนี้สามารถดูออกได้จากแววตาตื่นตะลึงของพวกอู๋เป่ยเฉิน

ชายหนุ่มทหารชายแดนทั้งหกรู้พลังของหลี่มู่ ย่อมรู้ดีว่าจี้หยกชิ้นนี้ล้ำค่าเพียงใด สวมใส่เอาไว้ติดกายนั่นเท่ากับว่ามีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหลายชีวิตทีเดียว

พวกเขาดีใจแทนไช่ไช่เช่นกัน

หลี่มู่มอบตำราลับวรยุทธ์หลายเล่มให้กับอู๋เป่ยเฉิน บอกว่า “ไช่ไช่หากเหมาะที่จะฝึกยุทธ์ เลือกวิชาที่อยู่ในนี้มาถ่ายทอดให้กับนางได้” ตำราลับเหล่านี้ล้วนเป็นของที่เขารีดไถมาจากพวกยอดฝีมือและสำนักต่างๆ ในพายัพยุทธจักรพวกนั้น ด้วยพลังฝึกของเขา แน่นอนว่าไม่ได้ใช้งาน แต่หากให้ไช่ไช่ฝึกฝนและใช้เป็นพื้นฐานการฝึกยุทธ์นั้นก็ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

หนึ่งในนั้นมี ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ อยู่ด้วย

ตำราลับเล่มนี้เข้าใจและดึงเอาแก่นสำคัญในนั้นมาแล้ว เก็บไว้กับตัวก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ถือโอกาสแสดงน้ำใจไปดีกว่า

“แน่นอน หากทุกท่านสนใจก็สามารถฝึกฝนได้” หลี่มู่เอ่ย

ยิ่งพวกอู๋เป่ยเฉินพลังสูงมากขึ้นเท่าไหร่ บนสนามรบก็จะยิ่งปกป้องตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น ก็นับว่าสามารถปกป้องแม่เฒ่าไช่สองย่าหลานได้เช่นกัน

อู๋เป่ยเฉินเป็นยอดฝีมือสายยุทธ์อยู่แล้ว เมื่อเห็นอักษรว่า ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ ตาก็จ้องเขม็งทันที

นี่คือตำราลับเคล็ดวิชาขั้นเจ็ดเชียวนะ

ชื่อเสียงและบารมีของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ พวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อน

“ขอบคุณใต้เท้ามาก” ท่ามกลางความดีใจ เขาก็รับเอาไว้โดยไม่ปฏิเสธ

หลี่มู่หัวเราะ

แต่เดิมเขาวางแผนว่าจะพาสองย่าหลานกลับไปอำเภอขาวพิสุทธิ์ด้วย แต่ตอนนี้ดูแล้ว ไปเมืองทหารชายแดนเหมือนว่าจะดีกว่าอำเภอขาวพิสุทธิ์

สุดท้ายหลี่มู่ก็พาสองย่าหลานกับพวกอู๋เป่ยเฉินทั้งหกคนไปจากสุสานฉางอันอย่างเงียบเชียบจากประตูข้างของสุสาน

จากนั้นก็มองส่งพวกเขาจากไปจนลับสายตา

อู๋เป่ยเฉินมั่นใจมาก

พวกเขาทหารชายแดนเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น มีเส้นทางทั้งทางน้ำและทางบก ทั้งสะดวกและรวดเร็ว ซ้ำยังลับตาเป็นพิเศษ ไม่มีทางถูกติดตามแน่ หลังจากที่เตรียมการแล้วก็ไปจากเมืองฉางอันตอนบ่ายวันนั้นเลย

“พี่ชาย ข้าจะเขียนจดหมายหาท่านแน่นอน”

ไช่ไช่นั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็ว โบกมือให้หลี่มู่ด้วยน้ำตานองหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์

……

หลังจากส่งอู๋เป่ยเฉินและแม่เฒ่าไช่สองย่าหลานไปแล้ว หลี่มู่ก็กลับมายังตรอกไล่หมู

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเที่ยงตรง

แดดร้อนแรงแผดเผา

เจิ้งฉุนเจี้ยนที่ก่อนหน้านี้ได้รับข่าวมารออยู่ที่หน้าประตูเรือนซอมซ่อแล้ว

หลี่มู่เข้าไปในเรือนหลี่มู่ ทักทายท่านแม่หลี่ก่อน

หลังจากทานอาหารกลางวันที่ท่านแม่หลี่และสาวใช้ทั้งหลายจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็อ้างว่ามีธุระ แล้วเรียกเจิ้งฉุนเจี้ยนไปยังห้องหนังสือของตน

“จากเมืองฉางอันไปอำเภอขาวพิสุทธิ์ ใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณเท่าไหร่?” หลี่มู่เอ่ยปากถามทันใด

เจิ้งฉุนเจี้ยนข่าวสารว่องไว ตอนนี้เขาได้รับข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเมืองฉางอันแล้ว และรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินคำถามของหลี่มู่ก็เข้าใจความหมายของเขาทันที “รถม้าที่ดีที่สุด ม้าที่เร็วที่สุด หากพาฮูหยินและคนอื่นๆ เดินทางทั้งวันทั้งคืน บ่ายของวันพรุ่งนี้ก็ถึงเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ขอรับ”

นิ้วของหลี่มู่เคาะโต๊ะเบาๆ อย่างมีจังหวะยิ่ง กำลังขบคิดอยู่

เจิ้งฉุนเจี้ยนในตอนนี้ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว

ความกดดันที่หลี่มู่มอบให้เขาตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อหลายวันก่อนที่อยู่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ความลึกลับและอานุภาพกดดันที่ปกคลุมกายอยู่ยิ่งลึกล้ำยากเกินหยั่ง เจิ้งฉุนเจี้ยนเชี่ยวชาญการคาดเดาความคิดของผู้อื่น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่มู่กลับระแวดระวังประหนึ่งอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ

นี่เป็นสิ่งที่มาจากพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งไร้เทียมทานของหลี่มู่

“ข้าเชื่อใจเจ้าได้หรือไม่?” หลี่มู่เงยหน้าขึ้นจ้องเจิ้งฉุนเจี้ยน สายตาเฉียบคมดั่งแสงกระบี่สองสาย เหมือนจะมองทะลุเครื่องในของเขาก็ไม่ปาน

เจิ้งฉุนเจี้ยนใจสั่น กล่าวว่า “คุณชายสามารถเชื่อใจข้าน้อยได้อย่างสิ้นเชิง ข้าน้อย…”

หลี่มู่ตัดบทการแสดงความภักดีของเขา “ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องพูดมาก ในกายของเจ้ามียันต์เป็นตายอยู่ เพียงชั่วความคิดข้า เจ้าก็ตายเสียดีกว่าอยู่แล้ว เจ้าก็เห็นพลังของข้าไปแล้ว พูดกับเจ้าตามตรง ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านวิชาคำสาปที่มีพลังฝึกขั้นเหนือมนุษย์ก็ไม่มีทางแก้ยันต์เป็นตายในกายเจ้าได้ แทนที่จะเชื่อความภักดีของเจ้า มิสู้เชื่อว่าเจ้ารักชีวิตของตัวเองดีกว่า”

เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้าหงึกหงัก

ใช่แล้ว ผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานที่ตายในเงื้อมมือของหลี่มู่ ก่อนหน้านี้คือธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ วันนี้คือโจวอัน รวมสองคนแล้ว ผลงานการต่อสู้เช่นนี้ทำให้เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่กล้าหวังว่าตนจะโชคดีแม้แต่น้อย

“เจ้าไปเตรียมการเถอะ เหมือนกับที่เจ้าบอก รถม้าที่ดีที่สุด ม้าเร็วที่เร็วที่สุด หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ออกเดินทางได้”

หลี่มู่ตัดสินใจแล้ว

………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา