“เด็กหนุ่มคนนี้ดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรไปหนึ่งในสิบส่วนแล้ว”
“สะสมพลังมาสองร้อยปีเชียวนะ หากเป็นแบบนี้ต่อไป อีกสองเดือนใต้ดินก็ว่างเปล่าแล้ว ทนให้เขาดูดไม่ไหวหรอก”
“เป็นตัวประหลาดจริงๆ ร่างกายของเขาเป็นหลุมดำหรืออย่างไร? ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์ ก็ไม่มีทางดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรได้มากมายภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ได้”
“เฮ้อ รู้สึกเหมือนพวกเราทำการค้าที่ขาดทุนยังไงก็ไม่รู้”
เหล่าวิญญาณขุนพลทอดถอนใจ
ครั้งนี้พวกเขาหาเหาใส่หัวตัวเองแท้ๆ แต่เดิมคิดว่าหลี่มู่ไม่มีวิธีดูดซับพลังวิญญาณชีพจรมังกรได้ ต่อให้มีวิธีรับ กายขั้นฟ้าประทานก็ไม่มีทางดูดซับได้มากมายนัก ใครจะรู้…มารดามันสิ เจอเข้ากับสัตว์ประหลาดเสียแล้ว หากรู้อย่างนี้ตอนนั้นไม่ควรให้สัญญาไปเลยจริงๆ
ตอนนี้จะแก้ไขอย่างไรดี?
เหล่าวิญญาณกลัดกลุ้มยิ่งนัก
เรื่องที่ทำให้พวกเขากลัดกลุ้มแบบนี้ ครั้งก่อนเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่นู่น
เวลาดำเนินผ่านไป
เพียงชั่วพริบตา หนึ่งคืนก็ผ่านไป
ขอบฟ้าปรากฏแสงอรุณรุ่ง หมอกยามเช้าปกคลุมในสวนสุสานทหาร
เหล่าวิญญาณหายไป
หลี่มู่เดินออกมาจากค่ายกล
ในกายของเขา กำลังภายในเสมือนแม่น้ำ กำลังไหลทะลักอย่างมหาศาลไปตามเส้นลมปราณ ประสิทธิภาพของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ สูงมาก พลังวิญญาณชีพจรมังกรที่ดูดซับเข้าไปในร่างกายมีเจ็ดแปดส่วนแปลงเป็นกำลังภายในแล้ว และกำลังทะลักไปตามแปดเส้นลมปราณพิเศษ หมุนเวียนเป็นวงโคจรจุลจักรวาลและมหาจักรวาลเองไม่หยุด
‘ที่แท้เส้นทางของสมาธิและการหายใจของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นที่หนึ่งก็คือเส้นทางเส้นลมปราณนั่นเอง หลังจากฝึกฝนกำลังภายในได้ กำลังภายในก็โคจรพลังปราณไปตามเส้นทางนี้ หล่อเลี้ยงกายเนื้อและจิตวิญญาณ’
หลี่มู่ทอดถอนใจ
เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนคนขุดสมบัติ กำลังขุดหาความอัศจรรย์ต่างๆ ของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ไปทีละก้าวๆ ทุกครั้งที่เขานึกว่าตัวเองได้รับประสิทธิผลของสองวิชานี้มาแล้ว ไม่นานนักก็ค้นพบสิ่งใหม่ให้ตื่นตกใจอีก
วิชาก่อนกำเนิดไม่ใช่แค่วิธีการหายใจเท่านั้น แต่เป็นวิธีบำรุงรักษาลมปราณด้วย
‘ตอนนี้ระดับความแข็งแกร่งของกำลังภายในของเราเทียบได้กับขั้นยอดปรมาจารย์สูงสุดแล้ว ต่อให้ไม่ใช้กำลังของกายเนื้อ อาศัยแค่กำลังภายใน ก็สามารถต่อกรกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานในตอนนั้นได้’
เขาวิเคราะห์พลังฝึกกำลังภายในของตัวเองในวันนี้ได้ชัดเจนมาก
ใจเพียงคิด กำลังภายในไร้สีสันก็ปลดปล่อยออกมา กลิ่นอายดุจภาพมายาชั้นหนึ่งพันล้อมเขาเอาไว้ทั้งร่าง
จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์สามารถปล่อยกำลังภายใน วางสนามพลังขนาดใหญ่หรือเล็กเอาไว้รอบกายได้แล้ว นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ยอดฝีมือระดับสุดยอดขั้นปรมาจารย์แข็งแกร่ง ส่วนผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ทำได้ถึงขั้นแปลงรูปร่างกำลังภายใน แค่ฟันออกไปก็เป็นปราณทรงพลังที่ไร้รูปร่าง ประดุจศาตราวุธ ยาวได้สั้นได้ ยืดหดอิสระ สามารถตัดทองขยี้หิน สังหารคนอย่างไร้ร่องรอย
ยอดปรมาจารย์ระดับสูงสุด สนามพลังจะขยายรอบกายได้ถึงเกือบสามสิบจั้ง เมื่อปล่อยปราณทรงพลังไร้รูปร่างออกไปก็สามารถสังหารเป้าหมายที่อยู่ไกลออกไปสามร้อยจั้งได้ ภายใต้สภาวะที่กำลังภายในเพียงพอ พูดได้ว่าเป็นอาวุธรูปร่างมนุษย์ก็ไม่เกินไป
แน่นอน โดยปกติแล้วการสำแดงวิชาต่อสู้ล้วนสิ้นเปลืองกำลังภายใน
วิชาต่อสู้ที่พลานุภาพยิ่งสูง ก็ยิ่งสิ้นเปลืองกำลังภายในมาก
เมื่อผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์อยู่บนสนามรบของกองทัพเป็นพันเป็นหมื่น หากใช้กำลังภายในจนหมดสิ้นจะแตกดับอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่นี่ไม่ใช่สาระสำคัญ
ไม่ง่ายเลยกว่าหลี่มู่จะมาถึงขั้นยอดปรมาจารย์สูงสุดในตอนนี้ได้ ตามหลักแล้วเขาควรจะฝึกฝนกำลังภายในของตัวเองขั้นต่อไป ศึกษารู้กลวิธีต่อสู้ของกำลังภายใน สั่งสมประสบการณ์ที่ใช้กำลังภายในต่อสู้กับศัตรู ฝึกฝนกำลังภายในจนปล่อยและเก็บได้ดั่งใจ แล้วถึงจะทะลวงสู่ขั้นฟ้าประทานได้
แต่วันนั้นที่สู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์แอบสำรวจแก่นแท้ของขั้นยอดปรมาจารย์ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานไว้นานแล้ว รู้ความลับทั้งหมดกระจ่างแจ้ง อีกทั้งวิชาก่อนกำเนิดที่เขาฝึกฝนยังเลิศล้ำไร้เทียมทานอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจละขั้นตอนการฝึกฝน ทะลวงขั้นฟ้าประทานไปเลย
“ไม่ต้องเลือกวันให้มากความ ตอนนี้สภาวะของข้าดีมาก กำลังภายในแผ่ระลอก ทะลวงขั้นฟ้าประทานเลยดีกว่า”
หลี่มู่ตัดสินใจแล้ว
ตอนนี้ในเมืองฉางอันพายุตั้งเค้ารอมาเยือน คลื่นใต้น้ำกำลังเคลื่อนไหว เจิ้งฉุนเจี้ยนส่งข่าวมาให้เขาไม่น้อย อย่าได้คิดว่าหลี่มู่ไม่มีรากฐานและไม่มีลู่ทางในเมือง แต่ที่จริงแล้วเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นหลายวันมานี้ เขากระจ่างแจ้งเป็นอย่างดี
หลี่มู่รู้สึกเลาๆ ว่าในเมืองฉางอันกำลังมีพายุลูกใหญ่ก่อตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ส่วนเขาก็ยากนักที่จะไม่สนใจเรื่องรอบตัว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รีบฉวยโอกาสยกระดับตัวเอง อัดคู่ต่อสู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับตนให้ยับ บดขยี้แล้วกดไว้กับพื้นให้หมด
เขาเข้าไปในค่ายกลใหม่อีกครั้ง
ในสมองนึกขั้นตอนที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานในวันนั้น ครั้งนี้หลี่มู่ไม่ได้นั่งขัดสมาธิ แต่สำแดง ‘หมัดยุทธ์แท้’ อยู่ที่เดิม กระตุ้นเลือดลมของตัวเอง ปรับสภาพกายเนื้อของตน เหมือนกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่กิน ‘โอสถหมื่นโลหิต’ วันนั้น ก่อนอื่นต้องทำให้เลือดลมของตนเดือดพล่าน ผลักดันสภาวะกายเนื้อให้ถึงขีดสุด
นี่สำหรับหลี่มู่แล้วก็ไม่ยาก
เพราะ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เชี่ยวชาญการทำให้ถึงจุดนี้เป็นที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา