จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 207

สรุปบท บทที่ 207 รวบหางยูง: จอมศาสตราพลิกดารา

ตอน บทที่ 207 รวบหางยูง จาก จอมศาสตราพลิกดารา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 207 รวบหางยูง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

สำนักตรวจการแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกตั้งสาขาย่อยเอาไว้ตามเมืองใหญ่ต่างๆ ของจักรวรรดิ มีหัวหน้าผู้ตรวจการสาขาย่อยรับผิดชอบดูแล และระหว่างผู้นำสำนักตรวจการกับหัวหน้าสำนักตรวจการสาขาย่อยก็จะมีตำแหน่งนายตรวจ ตำแหน่งสูงมีอำนาจมากเช่นกัน เทียบได้กับข้าหลวงต่างพระองค์ รับผิดชอบควบคุมดูแลคดีพิเศษ ยามจัดการคดีหัวหน้าสำนักตรวจการสาขาย่อยจะต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

ลู่หลีจื่อปีนี้อายุห้าสิบกว่า ร่างเตี้ยม่อต้อ หน้าตาอัปลักษณ์ ผิวดำเมี่ยม มีหน้าตาประเภทที่เด็กเห็นแล้วฝันร้ายได้ง่ายๆ แต่ว่าพลังฝึกของเขาล้ำลึก หลายสิบปีก่อนก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานแล้ว ในทั้งยุทธจักรของฉินตะวันตกก็พอจะถูไถนับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อ

ด้วยเพราะลู่หลีจื่อหลงใหลในอำนาจ ในบรรดานายตรวจทั้งสามสิบหกคนแห่งสำนักตรวจการ ถึงแม้เขาจะไม่นับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด กระทั่งว่าพลังจัดอยู่ในอันดับท้ายๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ตำแหน่งของเขาไม่ต่ำเลย ครั้งนี้ถูกส่งมาตรวจสอบคดีที่บุตรผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋องโดนสังหาร ก็เป็นเขาที่ขันอาสามาเอง

เรื่องที่ผู้ตรวจสวีหายตัวไป แค่ตรวจสอบเล็กน้อยก็รู้แล้วว่าเกี่ยวข้องกับหลี่มู่

ส่วนเรื่องการตายของฉินหลินบุตรผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋อง ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบก็รู้ว่าหลี่มู่เป็นคนทำ

หลี่มู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองเรื่องนี้แน่นอน

ตามขั้นตอนการสืบคดีของสำนักตรวจการ ขอแค่บอกกล่าวกับขุนนางท้องถิ่น จากนั้นให้ขุนนางท้องถิ่นออกหน้าจับกุมตัวคนร้าย ส่งมาให้พวกเขาควบคุมตัวกลับเมืองหลวงรับความดีความชอบ เรื่องนี้ก็นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว

ลู่หลีจื่อก็ทำตามกฎนี้ บอกกล่าวกับทางที่ว่าการเจ้าเมือง หวังว่าจะจับกุมหลี่มู่ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานเท่านั้น กำลังของที่ว่าการเจ้าเมืองฉางอันสามารถจับกุมตัวมาได้ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรสักเท่าไหร่ มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้เขาสงสัย นั่นคือไปถึงขั้นฟ้าประทานตั้งแต่อายุสิบห้าปีได้อย่างไร ข้อสงสัยนี้เขาจะค่อยๆ สอบสวนระหว่างทางจับหลี่มู่ส่งไปเมืองหลวง

ทว่า คำตอบของที่ว่าการเจ้าเมืองกลับทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายและโมโหขุ่นเคือง

บอกว่ากำลังทหารไม่พอคือการปัดความรับผิดชอบชัดๆ

ตนเป็นถึงนายตรวจของสำนักตรวจการสาขาหลัก ยามอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองฉางอันกลับไม่ได้รับความเคารพที่มากพอ

นี่เป็นการหยามหมิ่นสำนักตรวจการอย่างหนึ่งโดยแท้

แต่ลู่หลีจื่อที่กำลังโมโหคิดไปคิดมาแล้ว ก็เหมือนจะทำอะไรเจ้าเมืองฉางอันหลี่กังไม่ได้จริงๆ ในเมื่อสำนักตรวจการและที่ว่าการเจ้าเมืองเป็นสองขั้วอำนาจ อีกทั้งในฐานะขุนนางที่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครองท้องถิ่น ในมือของหลี่กังกุมอำนาจทหาร การปกครอง และทรัพย์สินของเมืองฉางอันเอาไว้ทั้งหมด เป็นบุคคลผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง แตะต้องไม่ได้ง่ายๆ

“จับหลี่มู่มาก่อน หึ ถึงตอนนั้นก็ให้มันลากหลี่กังเข้ามาเกี่ยวพันด้วย ต่อให้ทำให้หลี่กังอับอายไม่ได้ กลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำได้อยู่”

ลู่หลีจื่อหมายมั่นปั้นมือ ยิ้มชั่วร้าย สั่งให้คนไปจับกุมหลี่มู่มา

สำนักตรวจการออกโรง จอมยุทธ์ทั่วไปปกติแล้วจะไม่กล้าขัดขืน นอกเสียจากจะเจอคนร้ายประเภทหนีความผิดสุดหล้าฟ้าเขียว

ทว่าไม่นานนักก็มีข่าวส่งมาบอกว่า ทั่วทั้งเมืองล้วนหาร่องรอยของหลี่มู่ไม่พบ

“เช่นนั้นก็ไปหอสดับเซียน ไม่ได้บอกว่าหลี่มู่มีคนชอบพออยู่ที่หอสดับเซียนหรอกรึ? ไปเชิญตัวนางโลมคนนั้นมาสำนักตรวจการ ดูสิว่ามันจะมาช่วยคนหรือไม่” ลู่หลีจื่อเอ่ยพลางตบโต๊ะ

เขาส่งคนสนิทคนหนึ่งที่พามาด้วยจากสำนักตรวจการเมืองฉินออกไป ให้นำผู้ตรวจยี่สิบคนไปยังหอสดับเซียน

……

ฤดูใบไม้ร่วง ฟ้าใสกระจ่างอากาศสดใส

ในสุสานทหารเงียบสงัด

หลี่มู่ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน รู้สึกแค่ว่าทั่วร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สภาพยอดเยี่ยมจนถึงขีดสุด การฝึกฝนหนึ่งคืนครึ่งวันไม่ได้ทำให้เขาเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย พลังเต็มเปี่ยมเสียด้วยซ้ำ

หลี่มู่คิดๆ แล้วก็ฝึกฝนต่อเสียเลย

ก่อนหน้านี้ไม่อาจผลักดัน ‘หมัดยุทธ์แท้’ ถึงกระบวนท่าที่สี่ได้ เพราะฝึกฝนแค่ร่างกาย ไม่ได้ฝึกจิตใจ ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าใจอย่างถ่องแท้ ตอนนี้ก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว มีพร้อมทั้งใจและกาย สภาวะในตอนนี้ดีเยี่ยม ดังนั้นเขาจึงอยากลองอีกสักครั้ง

หลี่มู่ตั้งท่าเริ่มต้น ท่าที่หนึ่ง ท่าที่สอง ท่าที่สาม…

ปราณแท้ฟ้าประทานกลุ่มนั้นหมุนวนอย่างรวดเร็วภายในกายตามท่าทางของหมัดยุทธ์แท้

หลี่มู่ไม่รีบร้อนเชื่อมกระบวนท่าที่สี่ต่อเลยทันที แต่สำแดงสามกระบวนท่าแรกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปรับสภาพร่างกายของตน เหมือนกับกำลังโล้ชิงช้าอย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ สะสมพลังไปทีละนิด ปรับสภาพจิตใจและกำลังกาย ผลักดันให้ไปถึงขั้นสุดยอดที่สูงยิ่งกว่าอย่างต่อเนื่อง

เขารู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างเหมือนไฟแผดเผา

สนามพลังกำลังภายในแผ่ออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อเป็นแรงกดดันรอบกายในระยะสามสิบสามจั้ง วิชาก่อนกำเนิดละม้ายคล้ายเส้นผมกลุ่มนั้นเคลื่อนที่ไปในแปดเส้นลมปราณพิเศษอย่างรวดเร็วบ้าคลั่ง โคจรทั่วในร่างกาย

“ตอนนี้แหละ…”

หลี่มู่ตะโกนเบาๆ สำแดงกระบวนท่าที่สาม ‘ทลายสวรรค์’ เสร็จก็เปลี่ยนท่าทันที สองแขนตั้งท่าคล้ายเหมือนปิด[1]แขนวาดเป็นวงไท่จี๋[2] หมุนเป็นทิศทางที่เหลือเชื่อ ราวกับว่าไม่มีข้อต่อ จากนั้นวิถีโคจรของสองมือพลันพร่าเลือน ละอองหมอกปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!

ข้อต่อแขนของหลี่มู่ส่งเสียงดังลั่นเป็นชุด

จากนั้นเสียงนี้ก็แผ่ลามไปทั่วร่าง

กระดูกในร่างกายเหมือนกำลังจัดลำดับหรือจัดกลุ่มใหม่อย่างไรอย่างนั้น แปลกประหลาดเป็นที่สุด

สุดท้ายหลี่มู่รู้สึกว่าในหัวมีเสียงระเบิด ในกายเหมือนมีประตูอะไรสักอย่างเปิดออก พลังใหม่ทะลักเหมือนน้ำป่า เอ่อล้นไปทั่วทุกมุมทุกเนื้อเยื่อของร่างกายในทันที

หมัดยุทธ์แท้กระบวนท่าที่สี่ ‘รวบหางยูง’ ในที่สุดก็ฝึกฝนสำเร็จแล้ว

“สิ่งที่เราเดาไว้ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ที่ฝึกท่าที่สี่ไม่ได้ก็เพราะยังฝึกกำลังภายในออกมาไม่สำเร็จ หมัดยุทธ์แท้ถึงแม้จะเป็นวิชาฝึกร่างกาย แต่ทุกท่าแฝงไว้ด้วยจิตสูงสุดวิถียุทธ์ ดังนั้นหากไม่มีกำลังภายในช่วยเสริมบำรุง ก็ยากที่จะฝึกได้สำเร็จ”

“บ้าเอ๊ย คงไม่ได้ฝึกจนแขนเป็นก้ามปูแล้วหรอกนะ?”

หลี่มู่ฉงนสนเท่ห์

เขาสัมผัสได้ว่าหลังจากแขนขยายใหญ่ขึ้นแล้ว พละกำลังของแขนทั้งสองก็เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า ยามฝ่ามือนี้ซัดออกไป น่ากลัวว่าต่อให้เป็นภูเขาก็คงต้องแหลกทลาย

เมื่อออกท่า ‘รวบหางยูง’ อีกภายใต้สภาวะเช่นนี้ ก็มีการรับรู้ใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่แค่พลังไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม แต่ยังกระตุ้นกระแสพลังปั่นป่วนในฟ้าดินข้างหน้า จุดแสงแต่ละสายปรากฏขึ้นมารางๆ ระหว่างที่ฝ่ามือขยับ คล้ายจับกลุ่มเป็นรูปอะไรสักอย่างแต่ไม่ชัดเจนนัก สุดท้ายก็ก่อเป็นคลื่นวนพลังงานขนาดใหญ่ราวกับหลุมดำ ประหนึ่งกลืนกินทุกสรรพสิ่งได้

“ไม่ ไม่ใช่ เหมือนจะไม่ได้ป้องกันเสียทั้งหมด แต่แฝงเค้าการโจมตีกลับไว้ ดูดพลังของศัตรูมาแล้วสะท้อนกลับไป…นี่เป็นวิชา ‘ดาวเคลื่อนดาราคล้อย’ ของตระกูลมู่หรงในแปดอสูรมังกรฟ้านี่นา ที่แท้นี่ต่างหากถึงจะเป็นจิตสูงสุดที่แฝงอยู่ในท่าที่สี่ของหมัดยุทธ์แท้”

หลี่มู่กระจ่างแจ้งในทันที

คลื่นวนพลังของท่า ‘รวบหางยูง’ สามารถกลืนกินพลังโจมตีของศัตรู หลังจากผันเปลี่ยนแล้วก็โจมตีกลับไป

เป็นการสะท้อนกลับจริงๆ ด้วย

นี่มันวิชาเทพโจมตีสังหารกลับชั้นยอดโดยแท้

หลี่มู่หัวเราะอย่างไร้คุณธรรมขึ้นมาทันที

หากจังหวะเหมาะสม ‘รวบหางยูง’ สามารถปั่นหัวศัตรูที่แข็งแกร่งบางคนได้

ตอนนี้ในเมืองฉางอันลึกลับอันตราย วิชายุทธ์เช่นนี้มาได้จังหวะเหมาะยิ่งนัก

“ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ นั้นเสริมสร้างกันและกัน เพิ่มประโยชน์ให้กัน เป็นวิธีพื้นฐานของมหามรรคาที่เรียบง่ายที่สุด และเป็นวิธีที่ล้ำลึกที่สุด มิน่าเล่าซินแสเฒ่าถึงได้บังคับให้เราฝึกฝนสองวิชานี้มาสิบกว่าปี ส่วนพวกวิชาเต๋า ค่ายกล มนต์คาถาอะไรพวกนี้ ปกติก็แค่พูดๆ ไปตามปาก สองวิชานี้ถึงจะเป็นรากฐานสินะ”

ยิ่งพลังฝึกของหลี่มู่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว

นับๆ ดู เขาฝึกฝนอยู่ในสวนสุสานทหารมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ

……………………………………………………

[1] ท่าคล้ายเหมือนปิดคือหนึ่งในยี่สิบสี่ท่าไทเก๊ก เป็นท่าสำหรับป้องกันศัตรู ซึ่งท่าต่อจากคล้ายเหมือนปิดคือท่ารวบหางยูง สองท่าต่อกันกลายเป็นการ ‘ปิด’ และ ‘ผลัก’

[2] วงไท่จี๋ คือภาพวงกลมที่มีเส้นแบ่งเป็นโค้งเป็นตัวเอส หรือที่เรียกกันอย่างคุ้นชินว่าสัญลักษณ์หยินหยาง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา