เฝิงหยวนซิงโค้งตัว รายงานว่า “เรียนท่านขุนนางเมือง จัดการฐานที่มั่นพรรคเสินหนงจนเสร็จสิ้นแล้วขอรับ คนชั่วที่หลงเหลืออยู่ถูกส่งเข้าคุก สิ่งของ อาวุธ สมุนไพร อาหาร และของอื่นๆ ถูกขนย้ายมาที่ว่าการประจำเมือง รอให้ใต้เท้าจัดสรร จวนนายตรวจการและบ้านสกุลโจวก็ปิดเอาไว้แล้ว เพียงแต่..” เอ่ยถึงตรงนี้ เขาลังเลเล็กน้อย ไม่กล้าพูดต่อไป
“แต่อะไร” หลี่มู่พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง
เฝิงหยวนซิงกัดฟัน รายงานต่อว่า “ตอนที่ข้าน้อยนำคนไปจวนนายตรวจการและบ้านสกุลโจว พบว่ามีแต่ความว่างเปล่า ของทุกอย่างถูกขนออกไปแล้ว สมาชิกในบ้านนั้นหายตัวไป เหลือเพียงสาวใช้บางส่วนและห้องลับถูกทำลายทั้งหมด ไม่ทิ้งร่องรอยให้ติดตามขอรับ”
นี่ก็หมายความว่าเขาคว้าน้ำเหลว ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
ในเวลานี้ เฝิงหยวนซิงกลัวจับใจว่าขุนนางเมืองหนุ่มจะก้มหน้าลงมาพูดว่า ‘ข้าส่งเจ้าเอง’ แล้วแผลงศรใส่เขาเหมือนโจวอู่และเจิ้งหลงซิง ช่างเข้ากับคำกล่าวที่ว่าติดตามผู้นำเหมือนติดตามเสือจริงๆ
“โธ่เอ๊ย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าจัดการไปเองเถอะ สืบได้ก็สืบ สืบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” หลี่มู่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
เขาสังหารโจวอู่และเจิ้งหลงซิงไม่ใช่เพราะทรัพย์สิน และยิ่งไม่ใช่ว่าต้องการรู้ความลับอะไร
เฝิงหยวนซิงถอนหายใจโล่งอก
หลี่มู่เอ่ยต่อว่า “ทรัพย์สินที่ยึดมาจากพรรคเสินหนงในนั้นมีหนังสือเคล็ดวิชาลับอะไรรึไม่?”
“มีหนังสือวรยุทธ์อยู่หลายเล่ม บนร่างของซือคงจิ้งพบ ‘ตำราพิษทั้งห้า’ และ ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ เป็นวิชาทั่วไปขอรับ หากเทียบกับพลังที่สวรรค์ประทานให้ใต้เท้าแล้วยังห่างชั้นราวฟ้ากับดิน” เฝิงหยวนซิงกล่าวประจบอีกครั้ง
หลี่มู่พูดอย่างหงุดหงิดขึ้นว่า “อย่าพูดเหลวไหล ส่งตำราทุกเล่มมาให้ข้า”
สีหน้าของเฝิงหยวนซิงไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อย กล่าวอย่างร้อนรนต่อไป “ได้ๆๆ ข้าน้อยจะรีบนำมาให้ใต้เท้า”
ตอนที่เขาหันหลังกำลังจะเดินจากไป หลี่มู่เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงถามว่า “จริงสิ ในที่ว่าการแห่งนี้มียอดฝีมือในการยิงธนูด้วย?”
เฝิงหยวนซิงหันกลับมาตอบ “ใต้เท้า ช่างบังเอิญเสียจริงที่หัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่เป็นยอดฝีมือในการยิงธนู ใต้เท้าอยากเรียนยิงธนูหรือ?”
หลี่มู่พยักหน้า ทันใดนั้นก็ไออย่างรุนแรง เขาอ้าปากถ่มเสมหะปนเลือดออกมา สีหน้าเขาเปลี่ยนไปแล้ว “ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าไปเถอะ”
เฝิงหยวนซิงมองเสมหะปนเลือด ภายในใจสั่นไหว
‘อาการบาดเจ็บของใต้เท้าดูแล้วจะหนักกว่าที่คาดไว้’
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มกังวลใจ
ใต้เท้าที่แข็งแรงดุจเทพเซียนอยู่สภาพเช่นนี้ จะสามารถต้านทานการแก้แค้นของพรรคจันทราโลหิตและสกุลโจวได้หรือ?
โจวอู่และเจิ้งหลงซิงถูกฆ่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่าคงไม่ยอมรามือไปง่ายๆ
เฝิงหยวนซิงจากไปอย่างหนักใจ
ทันทีที่เขาจากไป เด็กน้อยหมิงเยวี่ยก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข “คุณชาย ทำไมท่านถึงเอาเลือดไก่มาป้ายตัวล่ะ เหมือนเจ้าคนประจบสอพลอนั่นจะหลงเชื่อนะ สีหน้าเหมือนกำลังกินอาจมเลย ฮ่าๆๆ จริงสิ ทำไมท่านถึงพ่นเลือดออกมาได้ล่ะ? ไม่ใช่ท่านจะตายจริง ๆ หรอกนะ? ฮ่าๆๆ ท่านต้องรักษาคำพูดนะเจ้าคะ ต้องให้ข้ากินตูดไก่ด้วย”
“เจ้าเด็กน้อย ไปกินตูดไก่ของเจ้าเถอะ” หลี่มู่ยกมือเขกหัวเด็กหญิงหนึ่งที
เทียบกับเด็กคนนี้แล้ว บาดแผลเจ็บน้อยกว่าการปวดใจเยอะทีเดียว
……..
ยามค่ำคืน
“หลี่มู่ หากข้าไม่แก้แค้นเจ้า อย่านับว่าข้าโจวเจิ้นไห่ยังเป็นคนอยู่เลย”
ภายนอกที่ว่าการ ส่วนลึกของทางบนเขาขาวพิสุทธิ์ มีชายแก่ที่เผยสีหน้าชั่วร้ายผู้หนึ่ง เขามีอายุประมาณหกสิบปี กำลังชูมือขึ้นพูดกับดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้าในอำเภอขาวพิสุทธิ์ และกล่าวสาปแช่งด้วยความเศร้าออกมา
รอบๆ เขามีคนนับร้อยติดตามอยู่
ในนั้นล้วนเป็นคนบ้านสกุลโจว ทั้งพี่น้องของรองขุนนางเมืองโจวอู่ ภรรยาเอก ภรรยารอง และลูกหลาน
คนที่สบถคำสาปแช่งออกมา ชายผู้ชั่วร้ายในวัยหกสิบก็คือโจวเจิ้นไห่ซึ่งเป็นบิดาของโจวอู่
แววตาคนบ้านสกุลโจวเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เดิมทีในอำเภอพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี กินอยู่อย่างราชา ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แต่ทุกอย่างกลับจบสิ้นลงเพราะขุนนางเมืองหน้าใหม่ พวกเขาต้องรีบหลบหนี ละทิ้งสิ่งของที่มีทั้งหมดมาอาศัยอย่างทุกข์ทรมานในเขาลึกแห่งนี้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นเยาว์ของสกุลโจวที่โดนเลี้ยงมาอย่างตามใจ ไม่เคยประสบความยากลำบากในชีวิต ต้องระหกระเหินมาทั้งคืนบนถนนขรุขระของเขาแห่งนี้จนฝ่าเท้าเป็นแผลซ้ำยังโดนยุงกัด จึงรู้สึกทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก อยากสับหลี่มู่ทั้งเป็นด้วยความแค้น
“หากพวกเราอาศัยอยู่ในเมืองแล้วใช้แซ่หลี่ คงไม่มีใครกล้าทำอะไร เราใช้ความเกี่ยวข้องนี่ได้…” เด็กในสกุลโจวพูดออกมาโดยไม่ทันระวัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา