หลังจากที่ได้ฟัง สีหน้ากุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าและนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มองหน้ากันเองด้วยความรู้สึกไม่วางใจนัก
กุนซือแห่งทุ่งหญ้าลองเอ่ยถามขึ้น “ท่านมีเรื่องลับใดที่ต้องสอบถามธิดาเทพหรือ?”
หลี่มู่ตอกกลับ “เจ้าก็รู้ว่าเป็นเรื่องลับๆ แล้วยังจะถามทำไม?”
กุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาพูดไม่ออกยิ่ง รู้สึกได้เลยว่ายอดยุทธ์ผู้ลึกลับตรงหน้าคนนี้เป็นคนที่คุยด้วยลำบากจริงๆ แต่ละประโยคที่พูดมามีแต่จะทำให้โมโหโกรธเคืองกัน…จะพูดจาดีๆ กันหน่อยได้หรือไม่
กุนซือหนุ่มและนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ยังคงรู้สึกเป็นกังวลกับธิดาเทพชิงเยียน นั่นเป็นเพราะ…นางงดงามจนเกินไปนั่นล่ะ
หลี่มู่พอเห็นสีหน้าของคนทั้งสอง ก็รู้ทันทีว่าพวกเขากำลังกังวลเรื่องอะไร จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “พอเลยๆ เจ้าคิดว่าข้าจะจับนางขืนใจแล้วสังหารทิ้งหรือไงกัน? นี่ ในหัวของพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่ ทำไมมีเรื่องสกปรกพรรค์นี้เยอะนัก นางเป็นหลานสาวของข้าเลยนะ พวกเจ้านี่มัน…”
“หุบปาก” สีหน้าของธิดาเทพชิงเยียนเปลี่ยนทันควัน หลี่มู่คนนี้ปากเสียเกินไปแล้ว
ส่วนนายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าหน้าดำหน้าแดงกันเป็นแถบ
เจ้าคนนี้ช่างปากกล้าจริงๆ
หากเป็นคนอื่นละก็ ป่านนี้คงถูกธิดาเทพชิงเยียนสับเป็นชิ้นๆ ก่อนโยนให้สุนัขกินไปแล้วกระมัง
คำพูดเช่นนี้เป็นเกล็ดใต้คอมังกร[1]ของธิดาเทพชิงเยียนเลยก็ว่าได้
“ข้าจะอยู่เอง พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ” ธิดาเทพชิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
หลี่มู่หัวเราะคิกคัก ทำท่าโบกมือลาไปทางนายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือแห่งท้องทุ่งหญ้า
ทั้งสองรู้สึกจนปัญญา จากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายจากไปอย่างว่าง่าย
“ท่านให้ข้าอยู่ก่อน มีเรื่องอะไรหรือ?” ธิดาเทพชิงเยียนถามเสียงเย็น
หลี่มู่ตอบกลับ “จิ๊ๆๆ เจ้าทำหน้าอย่างนี้ ราวกับว่าข้าติดค้างอะไรเจ้าอยู่…คืนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะข้า พวกเจ้าคงกลายเป็นศพกันหมดแล้ว ไม่คิดจะพูดขอบคุณข้าสักหน่อยหรือ?”
ธิดาเทพชิงเยียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่พูดอะไรกลับสักอย่าง
หลี่มู่คิดในใจ ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอารมณ์ขันกับเขาบ้างหรือไงกัน
เขาคิดๆ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “อย่าจ้องข้าแบบนี้ เจ้าอย่าคิดเป็นอื่นไปล่ะ ผู้หญิงเย็นชาเป็นน้ำแข็งแบบเจ้า ข้าไม่ได้สนใจเลยสักนิด…อืม ข้าถามเจ้าข้อหนึ่งก็แล้วกัน เจ้าน่ะ เป็นคนเผ่าเดียวกับพี่ใหญ่กัวใช่หรือไม่?”
“ถ้าเป็นแล้วจะทำไมรึ?” ธิดาเทพชิงเยียนถูกยั่วจนแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว
นางรู้สึกว่าความอดทนของตนเองมาถึงขีดสุดแล้ว หากเป็นคนอื่นละก็ เมื่อพูดประโยคแบบนี้มา เกรงว่าจะถูกนางตราหน้าเป็นศัตรูอาฆาตเป็นแน่
“ถ้าใช่ เจ้าก็ล้างหูรับฟังไว้ดี ข้าจะพูดแค่รอบเดียว” หลี่มู่ใช้ส่งกระแสจิตออกไปสำรวจบริเวณรอบๆ ตรวจดูว่ามีพวกยอดฝีมือคนใดแอบฟังอยู่หรือไม่ จากนั้นจึงเอ่ยถึงเคล็ดลับกระบวนหนึ่ง
ธิดาเทพชิงเยียนตกตะลึง นางรู้ว่านี่คือเคล็ดลับของวิชาเทพ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’
นางฝึกฝน ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ จากเศษเสี้ยววิชาที่หลงเหลืออยู่มา ดังนั้นพอได้ยิน ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่หลี่มู่พูดคือเคล็ดที่สมบูรณ์แบบของวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ถึงแม้จะเป็นเคล็ดลับที่บอกเพียงจุดสำคัญ แต่ก็ทำให้สิ่งที่ขาดหายไป ความย้อนแย้ง และความคลุมเครือที่นางได้จากเศษเสี้ยววิชากระจ่างแจ้งทั้งหมดในทันที
หลี่มู่บรรยายต่อไปเรื่อยๆ บอกทั้งบทนำ จิตอาตมัน เกาทัณฑ์ดั่งจิต และศรสถิตสวรรค์ทั้งสี่ส่วนของเคล็ด ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ออกมาจนหมด สมบูรณ์ครบถ้วนยิ่ง ไม่มีส่วนใดที่ตกหล่นเลยแม้แต่น้อย
ธิดาเทพชิงเยียนฟังอย่างใจจดใจจ่อ
เพราะนางเคยเรียนจากเศษเสี้ยววิชาที่เหลืออยู่มาแล้ว จึงสามารถเข้าใจได้ว่าวิชาเทพแผลงศร ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ที่สมบูรณ์นั้นน่ากลัวและสูงส่งเพียงใด ในที่ราบทุ่งหญ้าเล่าขานกันว่าวิชาธนูเทพนี้ทัดเทียมได้กับตำราลับของเก้าสำนักเทพ เป็นวิชาสุดยอดอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
เมื่อมีพื้นฐานที่เคยร่ำเรียนมาก่อน ประกอบกับสติปัญญาอันปราดเปรื่องของธิดาเทพชิงเยียน รวมกับนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ พวกเขาจึงกลายเป็นคู่หนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์แห่งที่ราบทุ่งหญ้า ดังนั้นฟังเพียงรอบเดียว นางก็สามารถจดจำได้ถึงเก้าในสิบส่วน มีเพียงศรสถิตสวรรค์ระดับสุดท้ายเท่านั้นที่ฟังแล้วยังรู้สึกคลุมเครือไม่ชัดเจนในส่วนเล็กๆ
“จำได้หรือยัง?” หลี่มู่ถามขึ้น
สายตาของธิดาเทพชิงเยียนอ่อนโยนลงบ้างแล้ว พอคิดที่จะตอบ กลับถูกหลี่มู่ขัดขึ้นว่า “จำไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่พูดรอบที่สองแล้ว”
ธิดาเทพชิงเยียนลมหายใจสะดุดกึก
นางรู้สึกได้ถึงความหวังดีของชายสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้ แต่ว่าทำไมเขาถึงได้ปากเสียนัก พูดจากันดีๆ ไม่ได้หรือ?
“ทำไมท่านถึงถ่ายทอดเคล็ดลับของวิชาเทพนี้ให้กับข้า?” ธิดาเทพชิงเยียนพยายามอดกลั้นความโมโห เพื่อให้น้ำเสียงปกติที่สุด
โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว นางเริ่มอยากรู้อยากเห็นในตัวของหลี่มู่ขึ้นมาบ้างแล้ว
นี่ไม่เหมือนกับตัวนางในเวลาปกติเลยสักนิด
“เพราะเห็นวิชาธนูของเจ้าแล้ว มันแย่มากจริงๆ ระดับฝีมือแค่นี้ทำพี่ใหญ่กัวขายหน้าโดยแท้ ถ้าจำไว้แล้วก็กลับไปฝึกฝนให้ดีๆ เสีย หากพัฒนาขึ้นมาได้บ้าง ทีหลังจะได้ไม่โดนจับไปขายที่หน่วยเลี้ยงรับรองอีก” หลี่มู่พูดกลับมา
ธิดาเทพชิงเยียนหัวเสีย
“ท่านลุงกัวให้ท่านมาถ่ายทอดวิชาให้ข้า ใช่หรือไม่?” นางลองเดาสุ่มดู
หลี่มู่ยกมุมปากขึ้น “ชิ พี่กัวไม่เคยบอกเสียหน่อย เขาไม่เคยเอ่ยถึงเจ้าด้วยซ้ำ ข้าแค่เห็นรอยสักบนหัวไหล่เจ้า ถึงคิดเชื่อมโยงได้เฉยๆ”
ธิดาเทพชิงเยียนหน้าแดงก่ำทันควัน แต่เพียงพริบตาความเขินอายทั้งหมดก็สลายไป
นางตระหนักได้ทันทีว่า ก่อนหน้าที่ตนเองจะถูกจับตัวไปประมูลขายที่หน่วยเลี้ยงรับรอง ชายใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้ก็อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมองเห็นอีก ขณะนั้นนางถูกพันธนาการไว้ในรถกรงเหล็กด้านหลัง ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้เลยว่าบนเวทีหลักเกิดอะไรขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา