“ท่านอาจารย์ ข้าทำให้ท่านต้องขายหน้า”
เฮ่ออวิ๋นเสียงคุกเข่าลงต่อหน้า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า ศีรษะแทบจะแนบไปกับพื้น
ส่วนบรรดาจอมยุทธ์สำนักดับนิวรณ์ที่ติดตามเฮ่ออวิ๋นเสียงไปสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ก็ต่างมีสีหน้าตึงเครียดและหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะพ่นลมหายใจ
เรื่องนี้ คนที่ขายหน้าคือจางปู้เหล่า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ อย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองฉางอัน ยังไม่ทันจะได้อวดเบ่งอย่างเป็นทางการ ลูกศิษย์ที่ชุบเลี้ยงมาอย่างดีก็ถูกทุบจนสลบต่อหน้าคนมากมาย และโดนรูดทรัพย์จนเกลี้ยง ส่วนยอดฝีมือของสำนักที่ติดตามไปด้วยก็ถูกกระบี่บินถางผม กลางกระหม่อมขาวเป็นกระจุก แม้คนภายนอกหัวเราะเยาะเฮ่ออวิ๋นเสียงก็จริง แต่ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าก็กลายเป็นเรื่องขำขันไปด้วย สำนักดับนิวรณ์ทั้งหมดก็เช่นกัน
“ลุกขึ้นเถอะ” สีหน้าจางปู้เหล่ามีเมตตา
“ลูกเหยี่ยวหัดโบยบิน ต้องร่วงลงมาบ้าง จึงจะรู้ถึงความกว้างใหญ่ของแผ่นฟ้า เจ้าเพิ่งเข้าขั้นฟ้าประทานได้ไม่นาน พลังยังไม่เสถียรพอ ยังขาดประสบการณ์การต่อสู้ แต่กลับเย่อหยิ่งลำพองตน ความพ่ายแพ้นี้จะกลายเป็นเรื่องเตือนใจให้กับเจ้า คราวหน้าคราวหลังก็ระมัดระวังเสียหน่อย จะว่าไปแล้ว หลี่มู่คนนั้น ก่อนหน้าไม่กี่วันเพิ่งจะกำราบสี่ผีดิบแห่งสำนักยมบาล ชื่อเสียงระบือไปทั่ว เจ้าพ่ายแพ้ให้กับเขา ก็ไม่นับว่าไม่เป็นธรรม”
‘เทพสังหารผมสีชาด’ ไม่ได้โมโหเหมือนที่คิดเอาไว้
เมื่อทุกคนได้ยิน ต่างรู้สึกโล่งอกกันถ้วนหน้า
เฮ่ออวิ๋นเสียงลุกขึ้น กล่าวขอบคุณอาจารย์ จากนั้นเอ่ยต่อว่า “หลี่มู่คนนี้สมควรตาย มันแย่งชิงของล้ำค่าที่อาจารย์มอบให้ข้าไปจนหมด…ท่านอาจารย์โปรดจัดการให้ข้าด้วย” เขาเสียดายของล้ำค่าเหล่านั้นมาก
“เมื่อพ่ายแพ้ ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมา” จางปู้เหล่าที่ฝึกฝนมาลึกซึ้ง ยากแท้หยั่งถึง สีหน้าไม่ยินดียินร้าย ท่าทีราวรวมเป็นหนึ่งกับผืนฟ้า เอ่ยขึ้นว่า “สิ่งของที่ถูกคนอื่นช่วงชิงไป เจ้าต้องนำกลับมาด้วยตนเอง อยู่ที่เจ้าแล้วว่าจะมีความสามารถหรือไม่…ส่วนเรื่องเด็กสาวที่ชื่อเหลยอินอิน พวกเจ้าไม่ได้มองผิดใช่ไหม นางมีลักษณะของหลูติ่งชั้นดีจริงหรือ?”
เฮ่ออวิ๋นเสียงตอบกลับ “ไม่ผิดแน่นอนขอรับ เป็นลักษณะเดียวกับหลูติ่งที่บันทึกอยู่ใน ‘คัมภีร์หมื่นโฉมเฉิดฉาย’ ทุกประการ เหล่าศิษย์สำนักทั้งหมดก็เป็นพยานได้”
ผู้แข็งแกร่งสำนักดับนิวรณ์คนอื่นๆ ต่างยืนยัน
“ดี อวิ๋นเสียง เจ้านำ ‘เทียบสังหารผมชาด’ ของข้าไปสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์อีกครั้ง ให้พวกนั้นส่งตัวเด็กสาวนั่นมา” ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าสั่งการ
เฮ่ออวิ๋นเสียงและยอดฝีมือสำนักดับนิวรณ์คนอื่นๆ เปลี่ยนสีหน้าทันที
‘เทียบสังหารผมชาด’?
เมื่อผมสีชาดปรากฏ สยบรอดขัดขืนตายไม่มีอื่น ชั่วเพลาเพียงสามค่ำคืน เลือดหลั่งพื้นนับพันลี้
ในปีนั้น ยามเทียบผมสีชาดปรากฏ เหล่าผู้เรืองอำนาจถึงกับเปลี่ยนท่าที
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางใหญ่แถบชายแดนของแต่ละจักรวรรดิหรือแม้แต่สำนักตรวจการ ต่างให้ความเคารพต่อ ‘เทียบสังหารผมชาด’ อยู่พอสมควร
สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ก็เหมือนงูน้อยกำลังเผชิญหน้ากับมังกรยักษ์ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ ที่เฮ่ออวิ๋นเสียงกับยอดยุทธ์สำนักดับนิวรณ์บางส่วนบุกไปสำนักเสียงวิหคสวรรค์ ไม่ใช่ความตั้งใจของจางปู้เหล่า หากแต่พวกเขาทำโดยพลการ เฮ่ออวิ๋นเสียงคิดง่ายนัก เขาคิดจะก่อเรื่องในเมืองฉางอันแห่งนี้สักเรื่องเพื่อประกาศตัวตนของตนเอง มิเช่นนั้น วิชาเทพลับที่เขาร่ำเรียนมาจากสำนักดับนิวรณ์จะเผยออกมาได้อย่างไร? ถ้ากลับมาเมืองฉางอันแล้วทำตัวสงบเสงี่ยม ก็เหมือนสวมชุดหรูหราออกไปเดินยามค่ำแต่ไม่มีผู้ชมมิใช่หรือ?
ทว่าตอนนี้ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าออกหน้า ส่ง ‘เทียบสังหารผมชาด’ มาเช่นนี้ นั่นหมายถึงว่านี่คือเจตจำนงของผู้อาวุโสแห่งสำนักดับนิวรณ์
นี่เป็นเหตุการณ์สองอย่างที่มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
……
ในห้องลับฝึกวิชา สีหน้าของหลี่มู่มีความยินดีปรากฏให้เห็น
‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ลอยอยู่บนศีรษะเขา
พลังธาตุทองสีเงินในนั้น มีเส้นแสงสีเงินบางๆ เหมือนของจริง ราวกับตัวไหมที่ปล่อยเส้นใยยืดยาวออกมาไม่หยุด คล้ายรยางค์หลายเส้นที่กำลังยื่นตรงมาด้านหน้าหลี่มู่ ส่วนปลายสุดของเส้นใยสีเงินนี้ อาวุธประหลาดขนาดใหญ่เล่มหนึ่งที่เป็นดาบก็ไม่ใช่กระบี่ก็ไม่เชิงหมุนและสั่นไหวไม่หยุด กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ขึ้น
มองดูแล้ว เหมือนกับดาบถังขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง
ดาบถังเล่มนี้กำลังดูดซับเส้นพลังสีเงินอย่างไม่หยุด
ขั้นตอนทั้งหมดมองเห็นเหมือนเป็นเส้นพลังซัดโหมอยู่ในตราประทับพลิกนภา กำลังถักทออาวุธรูปร่างพิกลเล่มหนึ่ง
“สำเร็จแล้ว”
หลี่มู่ลืมตาขึ้น อ้าปากออก ตราประทับพลิกนภากลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีพุ่งหายเข้าไปในปากของเขา
พลังจิตของผู้ฝึกบำเพ็ญจะรวมอยู่ที่จุดหนีหวานกง หรือก็คือในสมอง
ตราประทับพลิกนภาที่เป็นเครื่องรางเต๋า ปกติจะถูกเพาะบ่มบำรุงอยู่ในทะเลจิตที่จุดหนีหวางกงนี้ โดยใช้พลังจิตวิญยาณคอยบำรุงให้ชุ่มชื้น เมื่อนานวันเข้า ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องรางเต๋าและเจ้าของก็จะยิ่งใกล้ชิด เมื่อความเข้ากันสูงขึ้น พลังทำลายก็จะยิ่งมากขึ้นเช่นกัน
นี่คือศาสตร์การบำรุงเครื่องรางและอาวุธเต๋าที่หลี่มู่เคยได้ยินมาจากซินแสเฒ่า
ชัดเจนแล้วว่า เมื่อเทียบกับวิธีที่ให้ผู้แข็งแกร่งบนโลกนี้ใช้ค่ายกลดาราง่ายๆ และการตีตราพลังจิตทำสัญลักษณ์ให้ของวิเศษแล้ว วิธีการเช่นนี้เหนือชั้นกว่าหลายขุม
ตราประทับพลิกนภาหายไป ดาบถังขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ค่อยๆ ลดระดับลงจนมาอยู่ในมือของหลี่มู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา