หลี่มู่ชกออกไปหนึ่งหมัด เป็น ‘หมัดยุทธ์แท้’ กระบวนท่าที่หนึ่ง
หมัดยุทธ์แท้เป็นหนึ่งในวิชาต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ด้วยพลังกายของเขาในตอนนี้ เมื่อขับเคลื่อนพลังออกมา เรียกได้ว่าน่าสะพรึงยิ่ง
เผชิญหน้ากับขั้นเหนือมนุษย์ แน่นอนว่าหลี่มู่มีไพ่ตายอยู่ แต่ก็ไม่กล้าประมาทดูแคลน
พลานุภาพหมัดอันร้ายกาจพุ่งขึ้นฟ้าราวกับมังกรเทพ สั่นสะเทือนเขตแรงกดดันที่น่ากลัวนี้ได้พอสมควร
แต่ก็แค่สั่นสะเทือนเท่านั้น
พลังที่แท้จริงของขั้นเหนือมนุษย์ ช่างน่ากลัวจริงๆ
หลี่มู่ตกตะลึงในใจ
‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าคนนี้เพียงแค่โมโห ก็ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลาย หากใช้พลังทั้งหมด น่ากลัวว่าพื้นที่ภายในรัศมีสิบลี้นี้คงได้เละเป็นซาก หลี่มู่รู้สึกได้อย่างชัดเจน พลังวิญญาณรอบๆ นี้ราวถูกจางปู้เหล่าเรียกไปในหนึ่งความคิด เขาไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณในฟ้าดินมาเสริมกำลังภายในได้เลย
นี่คงเป็นอีกหนึ่งความลึกซึ้งของขั้นเหนือมนุษย์กระมัง
การสู้รบเปิดฉากขึ้นในพริบตา
ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย…
“ใครกันที่กล้าดึงพลังแห่งฟ้าดินในเมืองฉางอันแห่งนี้?”
เสียงที่จู่ๆ ดังขึ้นนี้ทั้งน่าเกรงขามและทรงพลัง ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนทั้งฟ้าและดิน ราวกับเป็นตัวแทนเจตจำนงของทั้งเมืองฉางอัน
ในพริบตา พลังแห่งฟ้าดินที่จางปู้เหล่าดึงมาหายไปจนหมด แรงกดดันขั้นเหนือมนุษย์ที่น่าสะพรึงนั้นก็หายตามไปด้วย ตรงทางเข้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ ทุกคนต่างรู้สึกเบาใจ เหมือนหินยักษ์ที่ทับอยู่บนตัวถูกย้ายออกไปทันใด แม้กระทั่งลมหายใจยังปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นด้วย
‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าสีหน้าเปลี่ยนไป “ท่านเจ้าเมือง?”
“ภายในเมืองสำคัญของจักรวรรดิ ขั้นเหนือมนุษย์ห้ามทำการยุทธ์ นี่เป็นกฎเหล็ก ผู้อาวุโสจาง เจ้ารู้แล้วยังกล้าฝ่าฝืน หรือคิดว่าจักรวรรดิฉินตะวันตกของเราไม่มีเขี้ยวเล็บ ไม่มีผู้แข็งแกร่ง จึงเมินเฉยต่อกฎเหล็กนี้?” เสียงที่จู่ๆ ดังขึ้นช่างน่าเกรงขาม นี่คือเสียงของเจ้าเมืองหลี่กังผู้รับผิดชอบเมืองฉางอัน เป็นผู้ปกครองระดับสูงของทั้งเมืองนี้ เป็นขุนนางใหญ่แถบชายแดนที่มีชื่อเสียงอำนาจของจักรวรรดิ และช่วงนี้เก็บตัวเงียบโดยตลอดนั่นเอง
สีหน้าของจางปู้เหล่าเปลี่ยนไปดูไม่ได้
จักรวรรดิในแผ่นดินใหญ่เสินโจว ในเมืองใหญ่เช่นนี้จะห้ามมิให้ดึงพลังฟ้าดิน หรือก็คือห้ามมิให้ยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ต่อสู้ในเมืองใหญ่นั่นเอง
เพราะว่าผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ แค่ยกมือไม้ก็มีพลังทำลายมหาศาลแล้ว เคยมีศึกที่จอมยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ต่อสู้กันจนทำลายบ้านเมืองราบเป็นหน้ากลองปรากฏขึ้นมาแล้ว เมืองใหญ่ที่แต่ละจักรวรรดิสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก มักใช้เวลาเป็นสิบถึงร้อยปี ลงทุนทั้งแรงงานแรงทรัพย์ ถือเป็นทรัพย์สินชิ้นใหญ่ของจักรวรรดิ เมื่อพังทลายลง ความเสียหายจะร้ายแรงถึงขั้นไหน?
ดังนั้น แต่ละจักรวรรดิต่างห้ามมิให้บรรดายอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์สู้กันในเมืองใหญ่โดยเด็ดขาด
ในจักรวรรดิฉินตะวันตกแห่งนี้ เคยเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าสำนักระดับสูงสุดสองคนต่อสู้กันในเมืองฝูเฟิงหนึ่งวันหนึ่งคืน จนเมืองฝูเฟิงกลายเป็นซากปรักหักพัง ประชาชนบาดเจ็บล้มตายกว่าแสนคน และพลังแท้จริงของเจ้าสำนักสองคนนี้ก็คือขั้นเหนือมนุษย์ ทำให้จักรวรรดิฉินตะวันตกได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
หลังจบเรื่อง จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกบันดาลโทสะ
ภายใต้อำนาจน่าเกรงขามขององค์จักรพรรดิ ทุ่งปิดภูผาหนึ่งในเก้าสำนักเทพส่งผู้แข็งแกร่งระดับสี่ผู้อาวุโสสูงสุดไปทำลายภูเขาของสำนักใหญ่ทั้งสอง ทำลายหลักคำสอนของสำนัก เนรเทศศิษย์ในสำนักทั้งหมด ส่วนขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสอง ถูกจับกุมตัว และใช้โลหิตของพวกเขาเซ่นไหว้วิญญาณ จากนั้นผนึกขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสองไว้ใต้พื้นดินตรงตำแหน่งเดิมของเมืองฝูเฟิง แล้วจึงสร้างเมืองใหม่ขึ้น เพื่อสะกดสองยอดฝีมือนี้เอาไว้เรื่อยมา
สองสำนักระดับหนึ่งที่เดิมทีมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่นี้ กลายเป็นฝุ่นผงไปภายใต้ความโกรธของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก
จากนั้นเป็นต้นมา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนกฎเหล็กข้อนี้
เรื่องคล้ายๆ กันนี้เคยเกิดขึ้นที่ซ่งเหนือและฉู่ใต้เช่นกัน ผลลัพธ์ไม่ได้แตกต่าง
‘เทพสังหารผมสีชาด’ ที่ถูกหลี่มู่ยุแหย่จนขาดสติหลงลืมกฎข้อนี้ไป และดึงเอาพลังแห่งฟ้าดินเข้ามา เพียงแค่นี้ก็ถือว่าฝ่าฝืนกฎเหล็กของจักรวรรดิแล้ว ทำให้หลี่กังเจ้าเมืองฉางอันต้องออกมาตำหนิเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า
เพราะว่านี่เป็นขีดจำกัดสุดท้ายของจักรวรรดิ
จักรวรรดิฉินตะวันตกเป็นถึงหนึ่งในสามจักรวรรดิใหญ่ เป็นยักษ์ใหญ่ในแผ่นดินใหญ่เสินโจว ต่อให้เป็นสำนักเก่าแก่ที่สืบทอดมานานอย่างดับนิวรณ์ ก็ยังไม่กล้าต่อกรด้วยซึ่งหน้า
ชั่วขณะหนึ่ง ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่ามีสีหน้าปั้นยาก
ส่วนในใจของหลี่มู่กลับตกตะลึง
เดี๋ยวก่อน ท่านเจ้าเมือง?
นี่กำลังพูดถึงเจ้าเมืองหลี่กังชายสารเลวคนนี้น่ะหรือ?
เจ้านี่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นเหนือมนุษย์?
นี่มันเรื่องตลกชัดๆ
หลี่มู่รู้สึกว่าโลกทัศน์ของตนพังครืนลงมาเล็กน้อย
เขาดูแคลนหลี่กัง ชายชั่วไร้ยางอายในแวดวงขุนนางที่เป็นคนลุ่มหลงอำนาจและชอบถีบหัวส่งคนอื่นมาก ดังนั้นตลอดมาจึงไม่ได้เอาเจ้าเมืองคนนี้มาใส่ใจ หนำซ้ำเจ้าเมืองหลี่กัง ปกติก็แทบจะไม่ได้รู้สึกถึงการมีตัวตนของเขาในเมืองฉางอันเลย
คนหรือกลุ่มอำนาจที่หลี่มู่เคยประสบมา ไม่ว่าจะเป็นที่หน่วยเลี้ยงรับรอง องค์ชายสอง สำนักตรวจการ โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ หรือบุตรผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋องคนนั้น มีใครบ้างที่ไม่ใช่พวกกำเริบเสิบสานจนถึงขีดสุด แต่ว่าท่านเจ้าเมืองคนนี้ไม่สนใจอะไร แม้แต่คืนนั้นที่หลี่สยงลูกชายของเขาถูกหลี่มู่เฆี่ยนเสียจนแทบจำบิดามารดรไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองกลับไม่มีท่าทีอะไรเลย
ผู้คนต่างรู้สึกว่าใต้เท้าเจ้าเมืองไม่กล้าจัดการ
แต่ตอนนี้ดูแล้ว เขาแค่ไม่คิดจะจัดการต่างหาก
เจ้าเมืองคนหนึ่งเก็บตัวมาได้ขนาดนี้ นี่มันช่าง…เนียนได้โล่ขนาดนี้เลย?
หลี่มู่ยังอยู่ในอาการตกตะลึง ในใจรู้สึกไร้คำพูด
นี่เหมือนสุนัขที่ไม่เห่าแต่กัดเจ็บชัดๆ
“ศึกของขั้นเหนือมนุษย์ จงไปทำที่นอกเมือง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา