จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 258

“นั่นใคร?”

พวกเฮ่ออวิ๋นเสียงระแวดระวังกันยิ่ง เงาที่ยืนตระหง่านอยู่บนจันทร์เสี้ยวสีเลือดนี้ประหลาดนอกรีตอยู่บ้าง

ยืนตระหง่านกลางท้องฟ้า นี่เป็นกลวิชาของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ทีเดียว

เหล่ายอดฝีมือสำนักดับนิวรณ์ก็ตื่นตัวขึ้น ฟังจากวาจาของร่างมารชั่วร้ายนี้ เหมือนว่าจะรู้จักกับฮวาเสี่ยงหรง หรือจะมาช่วยเหลือนาง? ตอนนี้จางปู้เหล่าไม่อยู่ คนคนนี้น่ากลัวว่าจะไร้เทียมทาน

เจ้าสำนักบัณฑิตชวีที่อยู่ในเกราะคุ้มกันมองจันทร์เสี้ยวที่ลอยต่ำกลางท้องฟ้าและเมฆสีเลือดที่ตลบกระจาย ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงร้องอย่างตกใจ “จอมมารจันทราโลหิต?”

“ท่าทางจะมีคนรู้จักข้า ไม่เลว”

เงาร่างที่ยืนอยู่บนจันทร์เสี้ยวสีเลือดเอ่ย

ในที่สุดสีหน้าของซ่างกวนอวี่ถิงก็ฉายแววหวาดเกรง แต่ไม่นานก็กลับสู่ความเรียบนิ่ง

ในอดีต นางอยู่ที่หอสดับเซียน ก็จำต้องเผยตัวเพราะการข่มขู่จากพรรคจันทราโลหิต ในอดีตชื่อนี้เป็นฝันร้ายในใจของนาง ดังนั้นยามได้ยิน ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ชื่อนี้ ในใจของนางจึงเกิดความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ

แต่นางก็ตระหนักได้ในทันทีว่าตนในตอนนี้ไม่ใช่นางโลมในหอคณิกาที่ยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกแล้ว

ตนเองเป็นคนที่ติดตามอยู่ข้างกายพี่มู่

หลายวันที่ติดตามพี่มู่ฝึกฝน ตอนนี้นางมีความกล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งแล้ว

“อย่าดิ้นรนเลย ตามข้าไปเสียเถอะ” ทั่วร่างของ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ อยู่ท่ามกลางรัศมีสีเลือด เกราะคุ้มกายแสงสีเลือดด้านๆ ภายใต้รัศมีจันทร์หม่นๆ ใบหน้ารางเลือน มองเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงความหยิ่งทะนงทรงอำนาจที่ชวนให้คนหวาดกลัว

ฮวาเสี่ยงหรงไม่ได้พูดอะไร

มือนางประสานปางมือวิชาเต๋า มีตราสีหยกหกตราพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ลอยวนเวียนรอบกายนาง เหมือนผีเสื้อบินตอมมวลมาลี และคุ้มครองนางไว้ข้างใน แสงสีเงินกะพริบไหวพันล้อมรอบกาย พลังจากวิชาเวทเพิ่มขึ้นมหาศาล

นางใช้การกระทำบ่งบอกตัวเลือกของตัวเอง

“ข้าไม่อยากลงมือกับอิสตรี เจ้าอย่าไม่รู้จักดีชั่ว” ในน้ำเสียงของ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ เต็มไปด้วยความชั่วร้าย “หลี่มู่เอาเจ้าไว้ข้างกายก็แค่เห็นความสำคัญของคุณสมบัติกายเจ้า แค่กำลังหลอกใช้เจ้าเท่านั้น ตอนนี้เขาไม่รู้เป็นหรือตาย ท้าสู้ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์นั่นเท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ เจ้าติดตามมันจุดจบจะต้องน่าอนาถแน่ หากเจ้า…”

ยังพูดไม่ทันจบ

ฟุ่บ!

ตราแสงจันทร์ตราหนึ่งราวลำแสงแหวกอากาศไปในชั่วอึดใจ โจมตีไปยัง ‘จอมมารจันทราโลหิต’

ใครก็ตามที่พูดจาให้ร้ายพี่มู่ล้วนสมควรตาย

ดวงตาของซ่างกวนอวี่ถิงฉายแววโทสะ

‘จอมมารจันทราโลหิต’ เพียงยื่นมือคว้าก็กำตราสีหยกไว้ได้สบายๆ น้ำเสียงที่เอ่ยขบขันเสียดสี “เจ้าเพิ่งจะฝึกฝนไม่กี่วันก็คิดมาสู้กับข้า? ฮวาเสี่ยงหรง ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักดีชั่ว เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่รู้จักทะนุถนอมสาวงาม”

เขาเพียงกำเบาๆ

ตราสีหยกก็แหลกเป็นฝุ่นผง

……

“เจ้าหนูตัวเล็กจ้อย เรื่องเอาตัวรอดก็พอจะมีความสามารถเหมือนกัน”

ใบหน้าของ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าฉายแววหมดความอดทน

สู้กันมาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ แล้ว

เขาเก็บความคิดจะหยอกเล่นลงไป ต้องการจบการต่อสู้ที่ไม่มีความกังวลใดๆ ครั้งนี้จึงใช้พลังที่แท้จริงแล้ว แต่วิชารักษาชีวิตหลี่มู่มีมากมายแพรวพราวนัก เขาไม่อาจสังหารหลี่มู่ในเวลาเพียงช่วงเวลาหนึ่งได้

และวิชาต่างๆ ที่หลี่มู่สำแดงออกมา ก็ทำให้ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ แอบตกใจเช่นกัน

มิน่าเล่าถึงถึงได้สร้างปาฏิหาริย์ลเรื่องแล้วเรื่องเล่าในเมืองฉางอัน เด็กหนุ่มคนนี้มีฝีมือจริงๆ ฝึกฝนทั้งวิชาเวทและวิชายุทธ์ อีกทั้งยังศึกษาเคล็ดวิชาเทพที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว หากไม่ใช่เพราะความแตกต่างของขั้นพลังล้วนๆ และตัวเองควบคุมพลังฟ้าดินได้แล้วละก็ วันนี้คงได้ดับดิ้นอยู่ในมือเจ้าเด็กนี่แน่

วันข้างหน้าหากปล่อยให้เติบโตไปจะน่ากลัวเพียงใด?

‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าคิดให้ละเอียดแล้วก็หวาดกลัวนัก

ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้จะต้องขุดรากถอนโคนให้ได้

เขาขับเคลื่อนพลังฟ้าดิน ลงมือเต็มกำลัง ประกายดาบยาวหลายสิบจั้งฟาดฟันมาอย่างบ้าคลั่ง

ยอดเขาหินแต่ละลูกและป่าดงดิบแต่ละผืนในระยะหลายร้อยลี้พินาศย่อยยับ

สำหรับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณแห่งนี้ นี่เป็นหายนะที่จู่โจมมาโดยไม่ทันตั้งตัว

ในครรลองสายตาประหนึ่งวันสิ้นโลก

หลี่มู่บังคับดาบวัฏจักร อาศัยความเร็วเหนือเสียงและพลังเนตรสวรรค์ ยืมยอดเขาหินที่พังทลายและฝุ่นตลบฟุ้งหลบหลีกประกายดาบสังหารของจางปู้เหล่าไม่หยุด ทุกครั้งล้วนเสี่ยงอันตรายอย่างหนักหนา หลบประกายดาบสีเลือดได้อย่างหวุดหวิด

ภาพนี้เหมือนคนที่กำลังโต้คลื่น ข้างหลังมีฝูงฉลามไล่ตามอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ระวังก็จะเจอฉลามโหดเหี้ยมกลืนกินไป

หลี่มู่ตอนนี้สภาพจนตรอกนัก

ความแตกต่างระหว่างฟ้าประทานกับเหนือมนุษย์คือหนึ่งขั้นใหญ่ๆ ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างสามัญชนกับจักรพรรดิ

ระหว่างการต่อสู้ เรียกได้ว่าเขาใช้วิชาทุกอย่าง หมัดยุทธ์แท้ วิชาดาบที่เป็นรูปเป็นร่างแล้วของหกดาบวายุเมฆากระทั่งวิชาเต๋าสังหารที่ควบคุมได้ในตอนนี้ กล่าวได้ว่าวิชาสังหารใดๆ ที่ควบคุมได้ เขาสำแดงมันออกมาทั้งหมด

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่ายของ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ทั้งหมดก็ล้วนไร้ประโยชน์

นั่นคือพลังแห่งฟ้าดิน

“เร็ว ยังต้องเร็วขึ้นไปอีกนิด…”

หลี่มู่บังคับดาบโบยบิน

พลังจิตวิญญาณของเขาหลอมรวมกันจนถึงขีดสุด ตรงหว่างคิ้วของเขาปวดรางๆ เป็นระลอก

ภายใต้การเบิกเนตรสวรรค์ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาสามารถรู้ถึงทิศทางและวงโคจรการโจมตีของกระบวนท่าศัตรูได้ก่อน นี่เป็นความสามารถที่ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ล่วงหน้า ถึงแม้จะเลือนราง เป็นความรู้สึกยากจะอธิบาย แต่ในใจของหลี่มู่กลับยินดีอย่างล้นเหลือ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา