ราวยี่สิบปีที่แล้ว จักรพรรดิฉินหมิงปีที่หกสิบเจ็ด เคยมีการจัดการสอบขุนนางครั้งที่สี่สิบสองแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกที่อึกทึกครึกโครม จนถูกบันทึกไว้ว่าเป็นการสอบขุนนางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด นับตั้งแต่จักรพรรดิกวงอู่เริ่มจัดสอบขึ้นมา เว้นก็แต่การสอบปีแรกสมัยกวงอู่เท่านั้น การสอบขุนนางครั้งนี้ทำให้ปรากฏสี่ยอดตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเป็นผู้ปกครองท้องถิ่นของจักรวรรดิในปัจจุบัน
และหลี่กัง ก็เป็นหนึ่งในสี่ยอดตำนานของปีนั้น
ช่วงนี้ หลี่มู่ที่อยู่ในเมืองฉางอันมีชื่อเสียงเป็นเซียนกวีวิถียุทธ์ เป็นบุคคลทรงอิทธิพล
แต่เมื่อเทียบกับหนึ่งในสี่ยอดตำนานอย่างหลี่กังแล้ว ยังคงห่างชั้นอยู่หลายขุมนัก
เพราะสิ่งที่หลี่กังเข้าไปมีอิทธิพลด้วยก็คือเมฆลมของทั้งจักรวรรดิฉินตะวันตกเลยนั่นเอง
หลี่กังตอนนั้นเป็นเพียงนักเรียนยากจนคนหนึ่ง ศึกษาสำเร็จมาก็ใช่ว่าจะดีเด่ เพราะยากจนได้เล่าเรียน ร่ำรวยถึงได้ฝึกยุทธ์ ทว่าหลี่กังที่สำเร็จการศึกษาแล้ว กลับได้รับฉายา ‘เซียนกระบี่’ แห่งเมืองหลวงฉินมาในเวลาไม่นาน เขากำกระบี่หนึ่งเล่ม เริ่มตั้งแต่เอาชนะผู้ใช้กระบี่ตามกลุ่มเล็ก ไปจนถึงจอมกระบี่แห่งเมืองหลวงฉิน และไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง ท้ายสุด กระทั่งเจ้าสำนักกระบี่แห่งยุคจากกลุ่มเล็กก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่หลี่กัง นับตั้งแต่นั้นมา ฉายาเซียนกระบี่จึงสั่นสะเทือนทั่วหล้า
ปีนั้น ‘กระบี่ธุลีแดง’ เล่มหนึ่งอยู่ในมือของหลี่กัง เรียกได้ว่าหั่นมารสะบั้นเทพ ฟาดฟันประชาราษฎร์ มีคนเล่าลือว่าหลี่กังที่อายุยี่สิบกว่าๆ มีท่วงท่าสง่างามของ ‘เจ้ากระบี่’ เฉินชางไห่ขั้นทะลวงสวรรค์เมื่อห้าร้อยปีก่อน กระทั่งมีคนสงสัยว่าหลี่กังอาจเป็นเฉินชางไห่กลับชาติมาเกิดก็เป็นได้
ช่วงเวลานั้น สกานการณ์ผันผวนไม่คงที่
หลังจบการสอบครั้งนั้น ในวันที่ทุกคนต่างเฝ้ารอการผลการคัดเลือกขุนนางในเมืองฉินอยู่ ภายใต้เงื่อนไขของผู้อาวุโสจอมกระบี่ในตำนานหลายคน ‘กระบี่ธุลีแดง’ มีราศีของมือกระบี่อันดับหนึ่งของฉินตะวันตกอยู่รางๆ และสามยอดตำนานที่เหลืออย่าง ‘ดาบฟ้าคำราม’ ‘หอกเทพครวญ’ และ ‘ทวนปราบอสูร’ กล่าวได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจ จนได้รับขนานนามว่าเป็นสี่ยอดตำนานในการสอบครั้งนั้น กระทั่งจักรพรรดิฉินหมิงเองเคยขอพบทั้งสี่คนด้วยตนเอง และมอบฉายาให้กับพวกเขาเป็น ‘เซียนกระบี่’ ‘จักรพรรดิดาบ’ ‘เทพหอก’ และ ‘อสูรทวนวงเดือน’
ต่อมา สี่ยอดตำนานต่างพัฒนาตนเองไปคนละทิศทาง
นอกจาก ‘หอกเทพครวญ’ อู๋กุยเหรินที่แย่งชิงสาวงามกับ ‘กระบี่ธุลีแดง’ หลี่กัง แล้วพ่ายแพ้หนีหายไปจากยุทธจักรไม่รู้แห่งหน ‘กระบี่ธุลีแดง’ ‘ดาบฟ้าคำราม’ และ ‘ทวนปราบอสูร’ สามคนล้วนกลายเป็นหนึ่งในดาราที่เจิดจรัสที่สุดของทางการจักรวรรดิฉินตะวันตก
‘กระบี่ธุลีแดง’ หลี่กังที่ชนะจากสนามรัก ยิ่งก้าวหน้ากว่าในสนามการเมือง เขาเริ่มจากเข้ามาเป็นผู้นำในอำเภอหนึ่งของฉางอัน ต่อมาได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดของเมืองฉางอัน
ส่วน ‘ดาบฟ้าคำราม’ กวนหมิ่นเหรินอยู่ที่เมืองหลวงฉิน กลายเป็นหัวหน้าทหารรักษาวัง และเลื่อนขั้นในหลายปีต่อมา เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลทหารรักษาวังทั้งหมดแปดแสนนายแห่งเมืองฉิน กุมอำนาจเมืองหลวงไว้ในกำมือ ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากจักรพรรดิฉินหมิง
ทางด้าน ‘ทวนปราบอสูร’ หลี่หยวนป้ากลับตรงไปที่สนามรบชายแดน ปัจจุบันได้เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารชายแดนที่ชายแดนซ่งเหนือกับฉินตะวันตก ในมือมีกำลังรบ ‘กองพันโองการฟ้า’ สี่แสนนายที่เป็นกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ
และนอกจากสี่ยอดตำนานนี้แล้ว การสอบขุนนางครั้งนั้นปรากฏดาวเด่นอัจฉริยะมากมาย เพียงแต่ถูกรัศมีเจิดจ้าของสี่ยอดตำนานกลบไปหมด แต่ในหลายปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้ก็ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก สามคนนั้นในกลายเป็นเจ้าเมือง สี่คนกลายเป็นขุนพล และมีอีกสิบหกคนเป็นขุนนางหลวง…
ผลลัพธ์ของการสอบขุนนางครั้งที่สี่สิบสองสมัยจักรพรรดิฉินหมิง จะบอกว่าส่งผลกระทบกับชะตาของจักรวรรดิฉินตะวันตกก็ไม่เกินความจริงเลย
อัจฉริยะจากการสอบครั้งนี้ขับเคลื่อนชะตาของจักรวรรดิในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะแปดปีก่อนหน้านี้ จักรพรรดิฉินหมิงใกล้สิ้นอายุขัย เพื่อที่จะบรรลุสู่ขั้นเทวะ จึงฝืนตนฝึกฝน ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ จนธาตุไฟเข้าแทรก สั่นคลอนชะตาประเทศ ก็ได้ขุนนางรุ่นใหม่เหล่านี้เข้ามาประคับประคองกระดูกสันหลังหลักของฉินตะวันตกเอาไว้
‘เซียนกระบี่’ หลี่กังเป็นยอดอัจฉริยะแห่งอัจฉริยะ และผู้เข้าสอบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการสอบครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
กระทั่งพูดได้ว่าในยุคสมัยนั้น หลี่กังที่มีฉายาว่า ‘ชายงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ’ น่าจะเป็นผู้โดดเด่นที่สุด มิเช่นนั้นแล้ว ผู้ที่ล้ำเลิศเช่นเดียวกันอย่าง ‘หอกเทพครวญ’ อู๋กุยเหรินคงไม่พ่ายแพ้ศึกรักให้กับหลี่กัง ต้องรู้ไว้ว่า อู๋กุยเหรินก็เป็นชายงามมีชื่ออีกคน ความรู้ความสามารถก็เคยเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงฉินเช่นกัน
แต่ว่าหากพูดอย่างละเอียด เส้นทางการเป็นขุนนางของสี่คนนี้ต่างมีสูงต่ำแตกต่างกัน
นอกจาก ‘หอกเทพครวญ’ อู๋กุยเหรินที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ในบรรดาคนที่เหลืออีกสามคน ‘ดาบฟ้าคำราม’ ควบคุมทหารรักษาวังแปดแสนนาย ลูกหลานสายตรงแทรกซึมเข้าสู่แทบทั้งฝ่ายทหารของฉินตะวันตก ‘ทวนปราบอสูร’ ขึ้นรับตำแหน่งที่ชายแดน ‘กองพันโองการฟ้า’ ถูกเรียกขานว่าเป็นทหารที่แข็งแกร่งหกลำดับแรกของแผ่นดินใหญ่เสินโจว เคยโจมตีทหารเกราะหนักฝ่ายซ่งเหนือที่เหิมเกริมไปทั่วจนเงยหัวไม่ขึ้นมาแล้ว
ทว่า ‘เซียนกระบี่’ หลี่กังที่โดดเด่นที่สุดตอนนั้น ความก้าวหน้ากลับน้อยกว่าคนอื่นเล็กน้อย จักรวรรดิฉินตะวันตกมีเมืองอยู่นับสิบ เมืองฉางอันถึงแม้จะเป็นเมืองแถวหน้า แต่ด้วยเป็นระบบขุนนาง ทำให้ชื่อเสียงไม่เท่า ‘ดาบฟ้าคำราม’ และ ‘ทวนปราบอสูร’ ตัวหลี่กังเองเดิมทีก็เป็นคนที่จงใจเก็บตัว ไม่ต่อสู้หลายปี ทำให้ผู้คนมากมายค่อยๆ ลืมชื่อ ‘เซียนกระบี่’ ของเขาไป หนำซ้ำเขายังทิ้งภรรยาที่ได้มาครอบครองจากการเอาชนะ ‘หอกเทพครวญ’ เมื่อครั้งนั้น ตัดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาดกับหลี่มู่ลูกในไส้ กลายเป็นเรื่องเล่าขำขันในแวดวงขุนนางของจักรวรรดิ ต่อมาเขาแต่งภรรยาคนหนึ่ง ว่ากันว่านางทั้งขี้ริ้วทั้งไม่เพียบพร้อม มีลูกกี่คนก็ไม่ได้เรื่องได้ราว โดยเฉพาะในช่วงนี้ หลี่มู่ที่ถูกเขาทอดทิ้งเริ่มมีชื่อเสียง บทกลอนมากมายเล่าขานส่งต่อมายังเมืองฉิน ไม่รู้ว่าผู้คนมากมายเท่าไรกำลังแอบยิ้มเย้ยเซียนกระบี่ในอดีตผู้นี้อยู่…
ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่ผู้นี้ มีแนวโน้มจะกลายเป็นตัวตลกมากขึ้นเรื่อยๆ
เป้าหมายขององค์ชายสองที่มาเมืองฉางอันครั้งนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่การไล่จับแม่ม่ายลูกกำพร้าตระกูลถัง และยิ่งไม่ใช่หลี่มู่ที่เคยปฏิเสธการเชื้อเชิญของเขา…ในสายตาขององค์ชายสอง พวกนี้เป็นเพียงมดปลวก เป็นแค่หินก้อนเล็ก ไม่มีคุณสมบัติมาขวางทางเขา หากเขารู้สึกขวางหูขวางตา เหยียบทิ้งให้ตายไปเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว
เป้าหมายของเขาคือหลี่กัง
‘เซียนกระบี่’ ที่ลงมาจุติ ผู้ที่ค่อยๆ ถอยห่างจากความรุ่งโรจน์ของตำนานเซียนกระบี่ไป
เพราะว่าหลี่กังในตอนนี้เป็นหนึ่งในสี่ยอดตำนานที่มีอิทธิพลน้อยที่สุด และมีพละกำลังอ่อนแอที่สุด นอกจาก ‘เทพหอกครวญ’ ที่หายตัวไปไร้ร่องรอย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้สนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างชัดเจนคนหนึ่งด้วย
การสนับสนุนจากขุนนางใหญ่ท้องถิ่นคนหนึ่ง สำหรับองค์รัชทายาทแล้ว ถือว่าเป็นตัวแปรใหญ่สำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไหนแต่ไรมา หลี่กังก็เป็นทั้งแขนซ้ายแขนขวาขององค์รัชทายาท
สำหรับผู้ที่มุ่งมาดจะชิงตำแหน่งจักรพรรดิอย่างองค์ชายสอง เรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหนามยอกอก
หลังจากหยั่งเชิงและชักชวนพลาดหลายครั้งหลายครา เขาก็คิดจะกำจัดหลี่กังนานแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา