จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 273

สรุปบท บทที่ 273 กระบี่ธุลีแดง: จอมศาสตราพลิกดารา

อ่านสรุป บทที่ 273 กระบี่ธุลีแดง จาก จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

บทที่ บทที่ 273 กระบี่ธุลีแดง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

แน่นอนว่าหลี่กังไม่ได้สังหารคนของตัวเอง

องค์ชายสองช่างไร้เดียงสาเสียจริง คิดว่าขุนพลเล็กๆ ที่ย้ายมาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉินจะสามารถวางคนสนิทของตนไว้ในกองกำลังหลักเมืองฉางอัน จากนั้นก็แทรกซึมเข้ามาได้ แต่ไม่รู้เลยว่าคนที่เชี่ยวชาญการวางกับดักล่าเหยื่อ สุดท้ายมักจะตายในกับดักตัวเอง

ทหารชุดเกราะที่ถูกสังหารเบื้องหน้านี้ล้วนเป็นคนสนิทของเมิ่งอู่

ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา หลี่กังมองทหารชุดเกราะที่ล้มลงราวเกี่ยวสาลี ในนั้นส่วนมากเป็นคนฉางอัน ใจของเขาไม่เกิดคลื่อนอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย

การล้างบางครั้งนี้ เขายืนอยู่เหนือจุดสูงสุดของคุณธรรมและผลประโยชน์ทั้งปวง

ด้านนอกโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ไม่นานนัก ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ที่ง่ามนิ้วแหลกก็ได้รับข่าว

เขาไม่สนการต่อสู้ของหลี่มู่กับนักพรตคิ้วยาวอีก พุ่งไปยังบริเวณหอบวงสรวงของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุทันที บนพื้นเหลือเพียงศพหลายร้อยร่างเท่านั้น เลือดไหลรวมกันจนเป็นแอ่ง ควันขาวลอยอ้อยอิ่งท่ามกลางความหนาวเย็นของต้นเหมันต์ฤดู โลหิตของนักรบที่เลือดลมสมบูรณ์แฝงไว้ด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ไม่มีทางแห้งแข็งไปในทันที…

ทหารชุดเกราะร้อยคนนี้คือทหารคนสนิทของเขา ปกติแล้วใช้ศาสตราวุธที่ดีที่สุด ทรัพยากรฝึกฝนที่ดีที่สุด ใช้วิชาฝึกของกองกำลังรักษาพระองค์ฝึกฝนมาหนึ่งปีกว่าๆ พูดได้ว่าเป็นลูกรักของเมิ่งอู่ ครั้งนี้เคลื่อนกำลังมาโจมตีโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ที่จริงเมิ่งอู่มีความคิดจะให้พวกเขาได้ฝึกจริง อย่างไรก็ต้องมีสูญเสียอยู่แล้ว ทว่ามีเจ้าสำนักยมบาลขั้นเหนือมนุษย์เบิกทางให้ จะสูญเสียสักเท่าไหร่กัน ไหนจะยังได้แสดงความสามารถในการนำทัพของตนให้องค์ชายสองเห็นอีก…

ทว่าตายกันหมดแล้ว

เมิ่งอู่มองหลี่กังอย่างโกรธแค้น ใช้เสียงที่แทบจะใกล้เคียงกับตวาดถามว่า “ใต้เท้าหลี่ นี่หมายความเช่นไร? เหตุใดจึงสังหารทหารของข้า? ต่อให้ท่านมีอำนาจสูงส่ง คุมกองกำลังทหารของเมืองฉางอัน เรื่องนี้ข้าก็ต้องการคำอธิบาย”

เขาถือว่าตนมาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉิน เป็นลูกศิษย์ของ ‘ดาบฟ้าคำราม’ กวนหมิ่นเหริน หนึ่งในสองบุคคลผู้เยี่ยมยอดของกองทัพ หลายปีมานี้กำแหงอวดดีเป็นอย่างมาก ในใจไม่ได้เคารพผู้กุมอำนาจเมืองฉางอันที่เก็บตัวเงียบคนนี้สักเท่าไหร่ ความนบนอบที่แสดงออกมาในยามปกติก็แค่ให้ตัวเองทำอะไรได้ง่ายเท่านั้น ตอนนี้ความโกรธแค้นทำให้เขาไม่คิดจะปกปิดความในใจอีกต่อไป

ทว่า หลี่กังหัวเราะเสียงเรียบ “ข้าต้องอธิบายอะไรกับเจ้า?”

แสงกระบี่มาอีกสายหนึ่ง

ฉัวะ!

เมิ่งอู่อกสั่นขวัญแขวน

รู้สึกแค่กระบี่โจมตีมาราวเทพลงมาเยือน พลังและท่วงท่าของกระบี่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะหลบหลีกและต้านทานได้เลย อานุภาพสูงส่งบริสุทธิ์ ชั่วขณะที่พลังไหลวนมา เขาเกิดความคิดยินยอมที่จะตายภายใต้กระบี่นี้

นี่ไม่ใช่กระบี่ที่มนุษย์จะสำแดงออกมาได้

ชั่วขณะนี้ เมิ่งอู่พลันเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าสำนักยมบาลผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ถึงได้ถูกกระบี่เบื้องหน้าสังหารในพริบตา ขณะเดียวกันเขาก็พลันตระหนักได้ว่า สิ่งที่องค์ชายสองพูดและชื่อ ‘กระบี่เซียน’ ของหลี่กังในอดีตที่เขาดูถูกเป็นเรื่องจริงแค่ไหน

เมิ่งอู่สัมผัสได้ถึงการมาเยือนของความตาย

แต่ทว่า ในเสี้ยวขณะนี้เอง…

“จิตสังหารของใต้เท้าหลี่จะรุนแรงเกินไปหน่อยกระมัง”

เสียงขององค์ชายสองดังขึ้น

สิ่งที่มากับเสียงคือตราดัชนีมังกรทองสายหนึ่ง ลายเกล็ดคมชัดเจน กรงเล็บแหวกอากาศ กะพริบวูบวาบมากดแสงกระบี่เทพเอาไว้อย่างแม่นยำในเวลาและระยะที่ยากจะเข้าใจได้

บึ้ม!

คลื่นพลังที่น่ากลัวก่อให้เกิดคลื่นอากาศเป็นชั้นๆ ราวกับคลื่นที่ตาเปล่ามองเห็นได้

ระลอกคลื่นกลุ่มนี้สะเทือนจนร่างทหารที่ตายอยู่บนพื้นกลายเป็นผุยผง ท้องฟ้าสั่นสะเทือน เหล่าผู้แข็งแกร่งโรงฝึกยุทธ์พลังพายุรู้สึกแค่พลังดั่งคลื่นคลั่งบดขยี้มา หายใจไม่ออกเป็นระลอกๆ จำต้องโคจรพลังต้านทานและล่าถอยไป

ร่างถานเยี่ยนจือกะพริบวูบมาปกป้องถังฮูหยินสามแม่ลูก แขนทั้งสองไขว้กลางอก จากนั้นนวมทองปล่อยโล่แสงสีทองที่มีลายค่ายกลดาราสีทองลึกลับชั้นหนึ่งหมุนวน

“ถอย”

นางตะโกนบอก

คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุต่างพากันถอยเข้าไปในโถงใหญ่หอบวงสรวง ก่อนกระตุ้นค่ายกลดาราป้องกันโถงใหญ่ ต้านทานควันหลงพลังของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ที่ประมือกันไว้

“ไม่เลวๆ ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ ขององค์ชายสองพัฒนาไปกว่าเมื่อก่อนแล้ว” หลี่กังเอ่ยชม

เขาก้าวเข้าสู่ขั้นกระบี่และจิตรวมเป็นหนึ่งนานแล้ว เมื่อความคิดขยับกระบี่ทะยาน เมื่อกระบี่ทะยานทุกอย่างพินาศ ถึงแม้จะเป็นกระบี่ที่ฟันออกไปง่ายๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยจิตกระบี่มหาศาล เพียงตราประทับกรงเล็บมังกรทะยานทางเดียวขององค์ชายสองก็ทำลายปราณกระบี่ของเขาได้ คลื่นลูกหลังมาแรงกว่าคลื่นลูกก่อนจริงๆ

“กระบี่ธุลีแดงของใต้เท้าหลี่ก็ด้อยลงทุกทีแล้ว” เสียงขององค์ชายสองลอยมาจากหอที่อยู่ห่างไปไกล แฝงร่องรอยหยอกล้อและเสียดสีเบาๆ “ในอดีต ‘กระบี่ธุลีแดง’ สะท้านไปทั่วเมืองฉิน เป็นหนึ่งในสี่ยอดตำนานทั้ง ทว่าวันนี้กระบี่ของใต้เท้าหลี่ไม่คมเหมือนในอดีตแล้ว”

หลี่กังหัวเราะ ไม่กล่าวอะไร

องค์ชายสองพูดขึ้นอีก “เมิ่งอู่เป็นลูกศิษย์ของผู้บัญชาการกวน ‘ดาบฟ้าคำราม’ มาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉิน เป็นดาวดวงใหม่ทางทหารของจักรวรรดิ อนาคตยาวไกล ใต้เท้าหลี่ไยจึงสังหารอย่างไร้สาเหตุ?”

“ไม่มีคำสั่งของข้า เคลื่อนพลกองกำลังคมโลหิตโดยพลการ โทษคือประหาร” หลี่กังตอบ

การเคลื่อนพลกองกำลังหลักทั้งสามในเมืองฉางอัน ผู้บัญชาการมีอำนาจเคลื่อนย้ายในระดับหนึ่ง การปราบโจรหรือฝึกทัพ ไม่จำเป็นต้องผ่านคำสั่งทหารจากเจ้าเมือง แต่เคลื่อนย้ายกองกำลังเข้าเมืองมาต้องผ่านได้รับคำอนุญาต พูดจากจุดนี้ เมิ่งอู่เคลื่อนพลกองกำลังคมโลหิตโดยพลการ แล้วจัดเป็นหน่วยลาดตระเวนเข้ามาในเมืองฉางอัน นี่คือโทษประหาร

หลายวันมานี้ หลี่กังเงียบงันราวไม่มีตัวตน ไม่ได้โมโหเดือดดาลเพราะเรื่องนี้ และยิ่งไม่ได้ออกคำสั่งขัดขวาง ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้คิดอะไร แต่หลายครั้งไม่ใช่ว่าไม่คิดอะไรแล้วจะไม่เป็นไรจริงๆ ยามหลี่กังประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างจริงจัง เมิ่งอู่ตระหนักได้ว่าตัวเองเหมือน…ตกอยู่ในหลุมพราง

คราวนี้แม้แต่องค์ชายสองก็อึ้งไปเหมือนกัน

แสงทองทะลักล้นทั่วร่างของเขา กลิ่นอายที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งโหมซัดออกมา

พลังฟ้าดินหมุนวน

ร่างขององค์ชายสองมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังมีของวิเศษของราชวงศ์ช่วยเพิ่มพลัง โคจรพลังฟ้าดินได้ตามใจ จึงย่อมไม่ต้องกังวลกฎห้ามขับเคลื่อนพลังฟ้าดินในเมือง และยิ่งไม่ถูกสะกดพลังจาก ‘กระจกสยบฟ้าา’ อาวุธเทพที่สะกดเมืองฉางอัน

หลี่กังส่ายหน้า “ขุนนางมิอาจลบหลู่เบื้องสูง”

เขาปฏิเสธที่จะประมือกับองค์ชายสอง

องค์ชายสองแค่นหัวเราะ “งั้นรึ? เช่นนั้นจักรพรรดิสั่งให้ตาย ขุนนางก็ต้องตาย ใต้เท้าหลี่ หากข้าสั่งให้เจ้าตาย…”

หลี่กังตัดบทกลางปล้อง “ท่านเป็นองค์ชาย หาใช่จักรพรรดิแห่งฉินตะวันตก มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้ คิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร?”

สีหน้าขององค์ชายสองเคร่งเครียดทันใด

เขาพบว่าความสามารถด้านการพูดของตน สู้คนผู้นี้ที่เปรียบดั่งมุกส่องสว่างที่สุดในการสอบเคอจวี่ครั้งนั้นไม่ได้เลย

ในตอนนี้เอง…

“อ๊าก…”

เสียงร้องน่าสังเวชดังขึ้น เลือดสาดกระจายทั่วฟ้า

นักพรตคิ้วยาวแขนขาดไปข้างหนึ่ง ถอยร่นมาด้วยใบหน้าซีดขาว

เมื่อสู้กับหลี่มู่ เขาที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์กลับไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่ายที่ยังไม่ถึงขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ ถูกตัดแขนไปข้างหนึ่ง ช่างอัปยศอดสูยิ่งนัก ทว่าเขากลับไม่มีความกล้าที่จะลงมืออีก

หลี่มู่ตอนนี้ร่อนลงถึงพื้นดินแล้ว

ดาบบินยี่สิบเล่มลอยอยู่รอบกาย งดงามอ่อนช้อยราวประกายเทพ เสียงสายฟ้าคำราม ปราณดาบไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลังน่าตกใจยิ่งนัก เขาหัวเราะร่ากล่าวว่า “ขั้นเหนือมนุษย์ก็แค่นี้เอง อ่อนแอยิ่งนัก”

ในสายตาของคนอื่น ศึกนี้ถูกการประจันหน้าสนทนาของเจ้าเมืองชายชั่วกับองค์ชายสองดึงดูดไป แต่สำหรับหลี่มู่ เขากำลังสำแดงแก่นแท้วิถียุทธ์ที่บรรลุจากการเก็บตัวฝึกในหลายวันนี้อย่างหนำใจนัก โดยเฉพาะวิชาดาบเหินหาว หนึ่งดาบแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าสังหารยี่สิบสี่ดาบซึ่งก้าวกระโดดขึ้นมาก นี่พิสูจน์ความคาดหวังของเขาแล้วว่า วิชาดาบเหินหาวสามารถสู้ขั้นเหนือมนุษย์ได้

“หึ หากไม่ใช่ว่า ‘กระจกสยบฟ้าา’ อาวุธเทพเมืองฉางอันสะกดไว้ทั่วเมือง ข้าจึงขับเคลื่อนพลังฟ้าดินไม่ได้ จะมาพ่ายแพ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบเจ้าเสียที่ไหน?” นักพรตคิ้วยาวโมโหจนกระอักเลือด ดั่งคนใบ้กินหวงเหลียน เขามีเรื่องทุกข์ใจแต่พูดไม่ออกจริงๆ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ใด เห็นได้ชัดว่าก่อนที่เจ้าเมืองหลี่กังจะปรากฏตัวก็ขับเคลื่อนพลังใช้งานอาวุธเทพ ‘กระจกสยบฟ้า’ เอาไว้แล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองฉางอัน พลังฝึกของขั้นเหนือมนุษย์ถูกลดทอนเป็นอย่างมาก ถึงได้ทำให้เขาพ่ายแพ้แก่หลี่มู่

หลี่มู่หัวเราะ “เช่นนั้นก็โทษได้แค่ว่าเจ้าซวยเท่านั้นแหละ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา