จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 304

ทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์ตกอยู่ใต้แรงกดดันอันน่าเกรงขามของครึ่งขั้นเทวะ อกสั่นขวัญแขวนกันถ้วนหน้า

หวงเซิ่งอี้พาความแค้นและความโกรธมา เปลวเพลิงสูงเทียมฟ้า แสงเพลิงสีแดงฉานราวกับทะเลเลือดปกคลุมทั่วแผ่นฟ้าอำเภอขาวพิสุทธิ์ ปิดฟ้าบังอาทิตย์ ประชาชน ทหาร และขุนนางทั้งหมดแหงนหน้ามองด้วยความตกใจหวาดกลัว ไม่เห็นทั้งอาทิตย์และเมฆขาว ในสายตามีเพียงแสงสีแดง ดั่งวันสิ้นโลกมาเยือนก็มิปาน

การล้างแค้นของทุ่งปิดภูผา ในที่สุดก็มาแล้ว

ใจของเฝิงหยวนซิงสั่นสะท้านในฉับพลัน

สภาพจิตใจของเขาก็เหมือนกับเกือบทุกคนในอำเภอขาวพิสุทธิ์

นอกจากเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าทุ่งปิดภูผาคืออะไร แทบจะทุกคน ช่วงหลายวันที่ผ่านมาสิ่งที่กังวลอยู่ทุกวี่วันคือเหตุการณ์นี้

ถูกต้อง พลังอันแข็งแกร่งที่ใต้เท้าขุนนางเมืองสำแดงในวันนั้น เหมือนกับฉีดยากระตุ้นหัวใจให้พวกเขา ช่วงไม่กี่วันมานี้ในเมืองไม่มีความวุ่นวายใดๆ เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาวางใจลงได้โดยสิ้นเชิง ศึกในวันนี้จึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าหากใต้เท้าขุนนางเมืองต้านทานแรงกดดันครั้งนี้ได้ เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ถึงจะผงาดง้ำได้อย่างแท้จริง

เพียงไม่นาน คนจำนวนมากแห่กันมายังท้องถนน

ทุกคนอวยพร ภาวนา กู่ก้องตะโกนอยู่ในใจ เพื่อเสริมพลังใจให้กับใต้เท้าขุนนางเมือง

ทุ่งปิดภูผาเป็นเทพผู้พิทักษ์ของชาวฉิน สลายคลื่นคลั่งที่ซัดสาด ขจัดเพสภัยหลายครั้งหลายครา ทว่าส่วนใหญ่ การคุ้มครองพวกนี้จะมุ่งที่ราชวงศ์เป็นหลัก ประชาชนคนธรรมดาอาจไม่รู้สึกลึกซึ้งเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านอำเภอขาวพิสุทธิ์ พวกเขารู้เพียงแค่ว่าใต้เท้าขุนนางเมืองหนุ่มน้อยคนนี้ หลังจากมาถึงอำเภอก็จัดการถอนรากถอนโคนเนื้อร้ายในเมืองทิ้งไป ทำให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ยามหวงเหวินหย่วนเข่นฆ่าสังหารประชาชนและมือปราบราวคนเชือดสัตว์ในเมือง หลี่มู่ก็จัดการสังหารหวงเหวินหย่วน มอบความเป็นธรรมให้ประชาชน แก้แค้นให้ชาวบ้าน จนเอาชนะใจพวกเขาได้

ครั้งนี้ ระหว่างหลี่มู่และสำนักเทพที่เป็นดั่งเทพผู้พิทักษ์แห่งจักรวรรดิ ชาวบ้านธรรมดาที่ซื่อสัตย์และได้เห็นสิ่งต่างๆ มากับตา จะต้องยืนข้างหลี่มู่อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่การยืนเคียงข้างของพวกเขา จะมีประโยชน์หรือ?

……

“โง่เขลานัก”

บนท้องฟ้านอกอำเภอขาวพิสุทธิ์ ห่างไปราวสองลี้ หลี่กังพ่นสามคำนี้ออกมา

เขายืนอยู่บนชั้นเมฆ มองลงมาจากด้านบนไกลๆ รู้สึกตกใจกับพลานุภาพกดดันที่ปกฟ้าคลุมดินของหวงเซิ่งอี้ และตอนเห็นประชาชนเรือนหมื่นเดินออกจากบ้านเรือนมายังถนนเพื่อให้กำลังใจหลี่มู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย บารมีและจิตใจประชาที่หลี่มู่มีในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ทำให้เขารู้สึกเกินคาด

ทว่าก็เป็นเพียงความเกินคาดเท่านั้น

ในโลกที่นับถือเพียงผู้แข็งแกร่ง จิตใจของประชาชนพวกนี้ หลายต่อหลายครั้งไม่มีความหมายใด มีเพียงดาบกับกระบี่ เลือดและไฟเท่านั้น ถึงจะเป็นอำนาจชี้ขาดชั่วนิรันดร์ หลี่มู่เอาความคิดจิตใจมาไว้ด้านนี้ สมควรเรียกว่าโง่เขลาหรือจะบอกว่าไร้เดียงสาดี?

หลี่กังมาชมศึกเท่านั้น

ศึกที่หลี่มู่สังหารหวงเหวินหย่วนและจับกุมตัวหลิวฉงครั้งนั้น เขาไม่ได้มาดู ตอนหลังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ดังนั้น เมื่อคำนวณเวลาที่ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้จะมาโจมตีอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้แล้ว เขาจึงมาดูเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้อยู่ไกลๆ

เขาอยากจะรู้ หลี่มู่ครอบครองพลังอะไรอยู่กันแน่

แต่ว่า ในส่วนลึกของจิตใจ หลี่กังก็ยังถือหางข้างหวงเซิ่งอี้มากกว่า

‘เทพมารเพลิง’ ฉายานี้ไม่ใช่ชื่อที่ได้มาเปล่า ก่อนหน้าช่วงที่หลี่กังยังไม่มีชื่อเสียง หวงเซิ่งอี้คือความภาคภูมิแห่งฉินตะวันตกที่น่าจับตามองที่สุด กลยุทธ์ศึกเปลวเพลิงไร้เทียมทาน ไม่รู้ว่าสังหารปีศาจและศัตรูไปมากเท่าใด เขาเป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่ยืนเหยียบบนกองเถ้ากระดูกจนประสบความสำเร็จ ต่อมาเข้าสู่ทุ่งปิดภูผา ได้รับความสำคัญจาก ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ย และรับการถ่ายทอดวิชาขั้นเทวะ ไม่ถึงสามสิบปีก็ทลายกำแพงจนเข้าสู่ครึ่งขั้นเทวะได้

พลังที่แท้จริงของหวงเซิ่งอี้ จัดอยู่ในลำดับต้นๆ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจว

บุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของการฝึกวรยุทธ์เช่นนี้ ตลอดทั้งชีวิต ไม่รู้ว่าผ่านร้อนหนาวมาเท่าไร จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะมาพลาดพลั้งตอนท้ายในอำเภอขาวพิสุทธิ์แห่งนี้

“มารหัวขนเช่นนี้ ตายไปเสียก็ดี ถึงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า”

ใบหน้าหล่อเหลาทรงภูมิของหลี่กังปรากฏแววเย็นชาโหดร้ายดุจน้ำแข็งเก้าสารทฤดู

จู่ๆ ใจของเขารู้สึกถึงบางอย่าง จ้องมองออกไปยังทิศพายัพ

แสงกระบี่สองสายราวกับรุ้งทรงกลดแหวกผ่าอากาศพุ่งเข้ามา ประหนึ่งไอเย็นของหิมะบนยอดเขาขาวพิสุทธิ์ ในพริบตาแผ่กระจายเต็มท้องฟ้า ปราณกระบี่ที่คุ้นเคยนี้…มุมปากของหลี่กังฉีกยิ้มขึ้นน้อยๆ

บนท้องฟ้าไกล บนเมฆก้อนหนึ่งที่ถูกปราณกระบี่ตัดแยกออกจากกัน ศิษย์อาจารย์ที่ใบหน้าหล่อเหลาสง่าผ่าเผยคู่หนึ่งในชุดขาวหยุดลงตรงนั้น

‘เทพกระบี่ขาวพิสุทธิ์’ จ้าวเสวี่ยผมขาวดุจน้ำค้างแข็ง องอาจสง่างาม อยู่ห่างออกไปกว่าสองลี้กลางอากาศ เวลาเดียวกับที่หลี่กังมองเขา เขามองเห็น ‘เซียนกระบี่ธุลีแดง’ เช่นเดียวกัน

สี่สายตาประสาน ราวกับประกายกระบี่ฟาดฟัน

เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองของฉินตะวันตก หลังจบศึกที่เมืองฉินเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ไม่คิดว่าจะได้มาพบกันอีกครั้งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ประสบความสำเร็จที่ยิ้มเย้ยในเมืองฉินเมื่อปีนั้น อีกฝ่ายคือผู้แพ้ที่ถอยหลบออกไป ฐานะสูงต่ำที่แบ่งไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็จืดจางไปแล้วเช่นกัน

หลี่กังยิ้มบางๆ พลางมองจ้าวเสวี่ย ไม่เอ่ยปากก่อน

ในฐานะผู้ชนะ เขามีจุดได้เปรียบด้านจิตใจ

จ้าวเสวี่ยยิ้มน้อยๆ ตอบ ประสานมือเอ่ยขึ้นว่า “ยี่สิบปีไม่เจอกัน ไม่คิดว่าวันนี้จะได้มาพบกันอีก สหายหลี่ยังคงสง่างามเช่นเคย” ท่าทีใจกว้างสบายๆ ไม่มีเค้าความรู้สึกแย่ของผู้แพ้เมื่อวันวาน

หลี่กังผงกศีรษะ กล่าวถาม “เจ้าสำนักจ้าว รีบร้อนมาที่นี่ คิดจะมาร่วมศึกนี้ด้วยหรือไร?”

จ้าวเสวี่ยตอบกลับ “ข้าก็คิดจะถามคำถามเดียวกับท่านเช่นกัน”

สีหน้าหลี่กังเย็นชา มองไปทางอำเภอขาวพิสุทธิ์ เอ่ยต่อว่า “แค่มาดูเท่านั้น หลี่มู่ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว เมื่อสังหารหวงเหวินหย่วนไป ก็ต้องมีบางอย่างคืนให้กับตระกูลหวง อีกทั้งหวงเหวินหย่วนเป็นขุนนางผู้รับคำสั่งจากราชสำนัก แต่ถูกสังหารขณะปฏิบัติหน้าที่ ตัวข้าที่เป็นผู้ดูแลจัดการเมืองแห่งนี้จะทำเป็นไม่รู้เรื่องราวไม่ได้ เจ้าสำนักจ้าวเห็นว่าอย่างไร?”

จ้าวเสวี่ยผงกศีรษะ

ตลอดมานี้ เขาไม่เคยมีความแค้นใดๆ กับหลี่กัง ต่อให้ศึกครั้งนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อนจะเปลี่ยนแปลงวงโคจรชีวิตของเขา แต่เขาก็อยากรู้นักว่าท่าทีของหลี่กังที่มีต่อลูกชายแท้ๆ ของตน ทำไมจึงเฉยชาถึงเพียงนี้

เพราะหากว่ากันตามตรรกะ สำหรับคนที่หลงใหลในพลังอำนาจและอิทธิพลอย่างหลี่กัง บุตรชายอัจฉริยะเช่นนี้ควรที่จะเป็นผู้ช่วยโดยกำเนิดถึงจะถูก บิดากับลูกชายร่วมมือกัน จะไม่ใช่เสือที่ติดปีกเช่นนั้นหรือ?

“หลี่มู่เป็นผู้มีพรสวรรค์ เป็นถึงบุคคลที่ยอดเยี่ยมในฉินตะวันตก เส้นทางภายภาคหน้ายาวไกลยิ่ง ถ้าสถานการณ์ประจวบเหมาะ ข้าก็ยินดีรักษาชีวิตเขาไว้” จ้าวเสวี่ยพูดขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา