แม้แต่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกของวิหารเทพหมาป่าก็ยังทะลุเข้ามาได้?
ครั้งนี้เจียงชิวไป๋ถูกทำให้ตกตะลึงจริงๆ แล้ว
ความเป็นมาของวิหารเทพหมาป่าพิเศษไร้ใดเทียม สืบทอดต่อมาจากยุคสมัยไกลโพ้น เป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายมากในโลก ดังนั้นขอแค่เขาไม่ยินยอม ต่อให้เป็นเก้ายอดคนอื่นๆ ก็ไม่อาจบุกเข้ามาในวิหารเทพหมาป่าได้ แต่ว่าเจ้าสุนัขตัวนี้กลับเหมือนวิญญาณ ก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหมดอย่างไร้สุ้มเสียงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า…แต่ปัญหาคือ ต่อให้เป็นวิญญาณก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้นี่
เขาก้มลงมองสุนัขประหลาดตาสองสีตัวนี้
มองอย่างตั้งใจ
ทว่า จากใบหน้าของอีกฝ่ายก็เห็นเพียงแค่รอยยิ้มไม่เต็มเต็งเท่านั้น โดยเฉพาะยามเจียงชิวไป๋มองมัน มันก็เอียงคอ ใบหน้าบิดไปมาเสมือนน้ำเต้าที่แกว่งขึ้นลง เหมือนตัวโง่งมจริงๆ
แต่งเป็นหมูหลอกกินเสือหรือ?
หรือว่าโง่ทึ่มจริงๆ
เจียงชิวไป๋ชักจะไม่ไหวแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นจ้าววิหารเทพหมาป่าที่วาจาคมคายมีแต่หยอกเย้าคนอื่น เคยถูกคนอื่นล้อเล่นเช่นนี้เมื่อไรกัน
แต่คิดไปคิดมา ตนเองคล้ายจะคุมสุนัขตัวนี้ไม่อยู่ ทำอะไรกับมันไม่ได้เลย จึงทำได้เพียงยอมแพ้ไปเท่านั้น
“เดินเถอะ”
เขาเหยียบเข้าไปในปากของหมาป่ายักษ์
ซ่างกวนอวี่ถิงเดินตามอยู่ด้านหลัง
นางมองเห็นสุนัขประหลาดกระโดดมาที่หน้าประตู ยกขาหลังขึ้น ฉี่รดไปกองหนึ่งที่ประตูใหญ่ จากนั้นกระโดดโลดเต้นตามมา เจียงชิวไป๋ที่อยู่ข้างหน้าเมื่อเห็นฉากนี้ก็โมโหจนคิ้วกระตุก แต่ทำอะไรไม่ได้ จึงทำเป็นเหมือนไม่เห็นเสีย ทำเอานางอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ทางเข้าวิหารเทพหมาป่าแคบยาว ราวกับเป็นปากหมาป่าจริงๆ สองด้านคือเสายักษ์สีขาวที่ค่อยๆ หยาบหนาและวางสลับกันเป็นแนวยาว ลักษณะดุจเขี้ยวหมาป่า บันไดหินใต้เท้าทอดยาวเข้าไปส่วนลึกของปากหมาป่าทีละขั้นๆ
คนที่สร้างวิหารหมาป่าขึ้นในยามนั้น จะต้องทุ่มเทมากเป็นแน่ ต้องมีจิตใจศรัทธาต่อหมาป่าอย่างแรงกล้า จึงเลียนแบบทุกอย่างจนถึงระดับที่แทบเหมือนหมาป่ายักษ์ได้ไม่ผิดเพี้ยน
บันไดทอดยาวลงไป ประหนึ่งเข้าสู่ส่วนกลางของภูเขา
ทางเดินทรงกลมสายหนึ่ง
กำแพงของทางเดินสลักลวดลายละเอียดอ่อน ลักษณะเหมือนคลื่น
เจียงชิวไป๋เดินอย่างเนิบช้า
เขาคุ้นเคยกับทุกอย่างที่อยู่ในนี้เป็นที่สุด
ซ่างกวนอวี่ถิงกลับพยายามสังเกตทุกสิ่งรอบๆ อย่างใคร่รู้
นางฝึกวิชาก่อนกำเนิด พลังการจดจำเพิ่มมากขึ้น ตลอดทางเข้ามาในความมืดล้วนจำไว้ชัดเจนในสมอง บางครั้งนางยังทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างที่ตนกับหลี่มู่เท่านั้นถึงจะเข้าใจเอาไว้ เพราะนางรู้ว่าพี่มู่ต้องตามมาที่ราบทุ่งหญ้าเพื่อช่วยเหลือตนแน่นอน เมื่อเห็นสัญลักษณ์พวกนี้จะได้เดินผิดทางน้อยลง
เจียงชิวไป๋เห็นทั้งหมดกับตา แต่ไม่ได้ห้ามอะไร
ความจริงตลอดทางมานี้ ซ่างกวนอวี่ถิงแอบทิ้งสัญลักษณ์ไว้มากมาย เขาเห็นทั้งหมดแล้ว
ความคิดของแม่นางน้อย เขาเข้าใจดี ทว่าไม่ได้เปิดโปง
ตลอดทาง เสียงฝีเท้าดังขึ้นในทางเดินอย่างชัดเจน สะท้อนก้องเป็นระยะ
สุนัขประหลาดตาสองสีวิ่งไปมา ตลอดทางทิ้งสัญลักษณ์สร้างอาณาเขตของตนเองไม่หยุด เหมือนสุนัขบ้านซนๆ ตัวหนึ่งไม่ผิด
ซ่างกวนอวี่ถิงในที่สุดก็อดถามขึ้นไม่ได้ “ทั้งวิหารเทพหมาป่า มีท่านอยู่แค่คนเดียวหรือ?”
ตั้งแต่เดินเข้ามา ทางเดินอันกว้างโล่ง แสงสลัวที่อ้างว้าง อากาศแทบหยุดเคลื่อนไหวเหมือนน้ำนิ่ง ทางเดินที่ไม่มีฝุ่นเปื้อนนี้ไร้ซึ่งเงาคน กระทั่งเสียงสะท้อนยามลงเท้ายังเต็มไปด้วยความหนาวยะเยือกที่ทำให้รู้สึกอ้างว้าง วิหารเทพหมาป่าแห่งนี้ไม่ต่างจากสุสานเลย
“แน่นอนสิ วิหารเทพหมาป่า ที่สถิตของทวยเทพ มีเพียงเทพที่สามารถเข้ามาได้” เจียงชิวไป๋เอ่ยขึ้นด้วยความทระนง
ช่างเป็นคนที่หลงตัวเองเสียจริง
ซ่างกวนอวี่ถิงเอ่ยต่อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านยังพาข้าเข้ามาอีก ข้าไม่ใช่เทพเสียหน่อย” ในอ้อมอกของนางยังคงกอดจิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่เอาไว้
เจียงชิวไป๋หยุดฝีเท้าลง ยิ้มเล็กน้อย กล่าวตอบว่า “เจ้าก็ใกล้จะเป็นเทพแล้ว” พูดจบ ก็ชี้นิ้วไปยังจิ้งจอกขาวในอ้อมกอดนาง “มันก็เหมือนกัน” นับตั้งแต่เข้ามาในวิหารเทพหมาป่า จิ้งจอกขาวน้อยรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างชัดเจน เหมือนกำลังหวาดกลัว และราวกับกำลังเฝ้ารออะไรอยู่ อารมณ์แปรปรวนมาก ซ่างกวนอวี่ถิงจำต้องใช้แรงถึงจะกอดมันไว้ได้
ตอนนี้เอง สุนัขประหลาดตาสองสีวิ่งหอบแฮ่กๆ เข้ามาใกล้
มันคลับคล้ายฟังมนุษย์พูดรู้เรื่อง ตาสีฟ้าและแดงทั้งสองจ้องมองเจียงชิวไป๋ หางกระดิกจนเหมือนกังหัน ชัดเจนว่ากำลังถาม ‘แล้วข้าล่ะ แล้วข้าล่ะ?’
มุมปากของเจียงชิวไป๋กระตุกเล็กน้อย ไม่พูดอะไร หันกลับแล้วเดินหน้าต่อ
ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา