เหล่าชาวเมืองจากที่เคยคาดหวังในตอนต้น มาสิ้นหวังในภายหลัง ท้ายที่สุดก็ทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ถูกกดขี่ข่มเหงจากขุนนางกังฉินทุจริต ตอนนี้พวกเขายังถูกคนในยุทธภพรังแกอีก ชะตากรรมช่างน่าขมขื่น เหมือนอยู่ในค่ำคืนที่ผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เห็นแสงสว่างสักเสี้ยวหนึ่ง ทว่ากลับจมอยู่ในความมืดมิดที่ลึกล้ำยิ่งกว่าไปเสียแล้ว
…….
ในห้องฝึกยุทธ์ เรือนพักด้านหลังที่ว่าการอำเภอ
หลี่มู่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นภายนอก
เขาหมกหมุ่นอยู่กับการฝึกศิลปะการต่อสู้
หลี่มู่ฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้หลายสิบเล่มที่ได้มาจากหลี่ปิงและพวกไปแล้วรอบหนึ่ง
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง ไม่ว่าวิชาบำรุงปราณกำหนดลมหายใจ เคล็ดฝึกลมปราณ หรือกระทั่งวิธีฝึกกำลังภายในระดับเก้าอีกหลายเล่ม ทั้งหมดล้วนไร้ผลต่อตัวเขา ไม่สามารถช่วยเขาเปิดประตูปราณหรือรู้สึกถึงกำลังภายในใดๆ
ทำให้หลี่มู่สรุปในใจได้ว่า วิชาต่อสู้ระดับเก้าอาจไม่สามารถช่วยให้เขาควบคุมกำลังภายในได้จริงๆ
เขาครุ่นคิดไปมา จะต้องหาวิธีฝึกกำลังภายในที่ระดับสูงกว่านี้มาลองดูอีกขั้น ในส่วนของวิชาอื่นๆ เช่นย่างก้าวอสุนี เพลงดาบมือซ้าย และดาบสะบั้นหยก เขากลับฝึกฝนได้สำเร็จครบถ้วน
ไม่รู้ว่าเพราะหลี่มู่ฝึกฝนวิชาเซียนอย่างพลังก่อนกำเนิดและหมัดยุทธ์แท้ทั้งสองอย่างหรือไม่ เขาถึงสามารถฝึกทักษะการต่อสู้ทั่วไปเหล่านี้ได้รวดเร็วยิ่ง โดยพื้นฐานแล้วพอลงมือฝึกก็จะคล่องแคล่วได้เร็วยิ่ง และหลังจากทบทวนอีกสองสามครั้ง จะรู้สึกได้ถึงข้อบกพร่องและช่องโหว่ของวิชาระดับต่ำเหล่านี้อย่างชัดเจน
หลี่มู่ใช้เวลาทั้งวันเพื่อลดความซับซ้อนของ ‘เพลงดาบมือซ้าย’ และ ‘ดาบสะบั้นหยก’ จากนั้นรวมเคล็ดวิชาเข้าด้วยกัน แล้วผสมผสานเข้าใน ‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่เขาคิดค้นขึ้นจาก ‘เพลงดาบลมกระโชกสามสิบหกกระบวนท่า’ ก่อนหน้านี้
ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง ควรเป็นการผสานเข้าในสองดาบแรกของ ‘หกดาบวายุเมฆา’
เพราะยิ่งสัมผัสวิชาการต่อสู้มากขึ้น หลี่มู่จึงยิ่งมีความคิดในหัวมากกว่าเดิม
หากจะกล่าวเกินจริงเล็กน้อย องค์ความรู้และความเข้าใจด้านยุทธ์ของหลี่มู่เติบโตอย่างบ้าคลั่ง เมื่อมองย้อนกลับไปทบทวน ‘หกดาบวายุเมฆา’ ซึ่งตนสร้างขึ้น หลี่มู่จึงพบว่าวิชาดาบที่ลดลงจนง่ายแสนง่ายแล้วในความคิดตน ที่แท้ยังมีที่ว่างและหนทางให้บีบอัดทำให้ง่ายมากขึ้นอีก
ในหกดาบวายุเมฆา สองดาบแรกถูกตัดในแนวนอน
หลี่มู่ตั้งชื่อว่า ‘ชักดาบสะบั้น’ และ ‘ตัดอสุนี’
ในขณะเดียวกัน วิชาท่าเท้า ‘ย่างก้าวอสุนี’ ซึ่งสนับสนุนการโจมตีรุนแรง เขาก็เก็บแต่แก่นไว้ ทำให้เรียบง่าย และลดให้เหลือท่าเท้าสองแบบ จากนั้นผสานรวมเข้ากับดาบสองเล่มแรกของหกดาบวายุเมฆา
ภายใต้การทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลี่มู่พอใจกับพลังของดาบทั้งสองนี้มาก
หากเขาเชี่ยวชาญวิชาดาบทั้งสองในวันที่เข้าโจมตีฐานที่มั่นพรรคเสินหนง จะไม่มีใครต่อกรกับเขาได้อย่างแน่นอน โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาพละกำลังเหนือมนุษย์ใดๆ
สำหรับ ‘วิชาเหล็กกล้า’ วิชาฝึกกายเล่มสุดท้ายที่ยึดมาจากหลี่ปิง หลี่มู่ทิ้งมันไว้ไม่ฝึกฝน เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ความแตกต่างระหว่างวิชาฝึกกายนี้กับ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ห่างกันหลายหมื่นปีแสง ไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลา
หลังจากเก็บตัวฝึกตนหลายวันนี้ กวัดแกว่งดาบหลายหมื่นครั้ง ฝึกตัดอสุนีและชักดาบสะบั้นเข้าถึงแก่นจนกลายเป็นสัญชาตญาณของร่างกายแล้ว หลี่มู่รู้สึกรางๆ ได้ว่าเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยมในร่างกายเขา คล้ายเกิดจากการสะสมมายาวนานจนไปถึงจุดสูงสุด การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณจึงช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพขึ้น
หลี่มู่มองเห็นลู่ทางจึงกระจ่างแจ้ง และรังสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยมในห้วงความคิด เมื่อหยั่งรู้บางสิ่ง เขาก็เลิกฝึกดาบทันที ก่อนจะหันมาเริ่มฝึกฝนรูปแบบที่สองของ ‘หมัดยุทธ์แท้’
ก่อนหน้านี้หลี่มู่ฝึกจนได้ท่ากำลังขาตั้งต้นของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ สำเร็จ สามารถสำแดง ‘ค้อนทะยานฟ้า’ กระบวนท่าแรกของหมัดยุทธ์แท้ได้อย่างราบรื่น แต่กระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ นั้นยากจะทำได้ กล้ามเนื้อและกระดูกของหลี่มู่ไม่สามารถทนความรู้สึกฉีกขาดจากการเคลื่อนไหว หากฝืนทำไปจะเจ็บปวดเกินบรรยาย เหมือนถูกมีดนับพันกรีดแทง
แต่คราวนี้เขาใช้กระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ แม้ว่ายังคงมีอาการบวมของกล้ามเนื้อเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อหดเกร็งอยู่ กลับไม่เจ็บปวดเหมือนเก่าก่อนอีก หลี่มู่กัดฟัน ฝืนออกกระบวนท่าจนครบรอบ เหงื่อไหลโซมทั่วทั้งกาย
ทว่าเขากลับเต็มไปด้วยพละกำลัง
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกท่าการเคลื่อนไหวของ ‘ลิ่มสวรรค์’ ได้ครบถ้วน
เขาตระหนักได้ว่าโอกาสที่จะทำกระบวนท่าที่สองของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ให้สมบูรณ์มาถึงแล้ว
หลี่มู่กัดฟันแน่น เริ่มออกกระบวนท่าครั้งที่สอง
จากนั้นครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า…
ความรู้สึกกล้ามเนื้อชาและบวมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวดดั่งหัวใจจะฉีกแยก ร่างของหลี่มู่คล้ายค่อยๆ สูญเสียการรับรู้ไป เขาอาศัยสัญชาตญาณของร่างกายออกท่าลิ่มสวรรค์ไม่หยุดหย่อน หยาดเหงื่อนับไม่ถ้วนไหลซึมออกจากรูขุมขน เหงื่อซ่กไปทั้งร่างเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลี่มู่พลันรู้สึกว่าร่างกายสั่นเทา
ตูม!
เสียงดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวของหลี่มู่
ในชั่วพริบตา เขามีความรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวราวจะหลุดออกจากแรงดึงดูดของดาว พลิ้วสบายประหนึ่งจะกลายเป็นเซียน ช่างยอดเยี่ยมถึงขีดสุด ในขณะนั้นร่างกายที่เสียการรับรู้เหมือนกลับเข้าสู่น้ำคร่ำของมารดาอีกครั้ง ความรู้สึกอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามา การควบคุมร่างกายกลับคืนมาทีละนิด
ในที่สุดก็เข้าใจกระบวนท่าที่สองของหมัดยุทธ์แท้ ‘ลิ่มสวรรค์’ อย่างถ่องแท้แล้ว
หลี่มู่หยุดลง รู้สึกเพียงปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว
เมื่อก้มลงมองถึงพบว่าผิวหนังถูกปกคลุมด้วยคราบสกปรกสีดำดุจยางมะตอย คราบทั้งหมดไหลออกมาจากรูขุมขน ส่งกลิ่นเหม็นออกมา เหมือนกับในครั้งแรกที่หลี่มู่ฝึกหมัดยุทธ์แท้กระบวนท่าค้อนทะยานฟ้าสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องคาดเดาก็รู้ได้ เพราะลักษณะของการชำระล้างร่างกายหลังจากสำแดงหมัดยุทธ์แท้กระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ สำเร็จนั้นเหมือนกันทุกประการ
“สมรรถภาพทางกายพัฒนาขึ้นอีกครั้ง…”
หลี่มู่ทอดถอนใจ ในใจตื่นเต้นยิ่งนัก
การเพิ่มขึ้นของพลังไร้ขีดจำกัด
เนื่องจากไม่มีการเปรียบเทียบที่ชัดเจน หลี่มู่จึงไม่แน่ใจว่าพลังของเขาในตอนนี้น่ากลัวเพียงใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา