หลี่มู่รู้สึกได้อย่างชัดเจน เมื่อเชื่อมโยงทั้งสองกระบวนท่าแล้ว ภายใต้การกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง การควบคุมร่างกายของตัวเองก็ชำนาญขึ้นไปอีกระดับ
ความเชี่ยวชาญประเภทนี้ไม่ได้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองในแบบทั่วไป ไม่ใช่แม้กระทั่งความชำนาญในการใช้ส่วนอื่นๆ เช่นมือเท้า พลัง หรือแขนขา แต่เรียกได้ว่าเป็นความชำนาญระดับละเอียดอ่อน เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อ ผิวหนัง รูขุมขน กระดูกและเส้นเอ็นได้ในระดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่นเขาเพียงรวบรวมสมาธิ ก็สามารถปิดรูขุมขนบนผิวหนังบางจุดได้อย่างสมบูรณ์
นี่หมายความว่าหากหลี่มู่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ในอนาคต เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณบาดแผลเพื่อปิดปากแผล หลีกเลี่ยงไม่ให้เสียเลือดมากเกินไป และรักษาพลังกายให้อยู่ในระดับสูงสุดได้
การควบคุมถึงขั้นนี้ แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือศิลปะการต่อสู้ก็ยังไม่สามารถทำได้
‘ ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เกินกว่าสุดยอดวิชายุทธ์ใดๆ บนดาวดวงนี้ไปแล้ว ที่ซินแสเฒ่าบอกว่าเป็นวิชาเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ระดับการพัฒนาศักยภาพร่างกายกับพลังการต่อสู้ประเภทนี้เป็นพลังระดับตำนานสำหรับจอมยุทธ์บนดาวดวงนี้เลย’
ยิ่งหลี่มู่ชำนาญพลังของวิชาทั้งสองนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ในใจเขายิ่งตื่นตะลึงและปลงอนิจจัง
ซินแสเฒ่าเป็นเซียนโดยแท้
หนึ่งชั่วยามกว่าต่อมา หลี่มู่ยุติการเก็บตัวฝึกฝนครั้งนี้ลง
เขาตระหนักได้ว่าขอบเขตการเปลี่ยนแปลงรอบนี้หยุดอยู่แค่ตรงนี้แล้ว
หากอยากจะพัฒนาต่อไปอีกขั้น หลี่มู่ต้องผ่านการต่อสู้อีก รวมทั้งต้องศึกษาตำราวรยุทธ์กับวิชาการต่อสู้เพิ่มเติม และสั่งสมความรู้ประสบการณ์ ขยายโลกทัศน์ต่อไป
มิฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีสองวิชาระดับเซียนอยู่ในมือ ก็ไม่สามารถปิดตัวเองไม่สนใจโลกภายนอกได้
หลี่มู่ยืนขึ้นแล้วเดินไปยังประตูห้องฝึกยุทธ์
“เอ๋?”
ขณะที่ผ่านชั้นวางโบราณ หลี่มู่กวาดตามองโดยไม่ได้ตั้งใจ และเห็นหนังสือเล่มหนึ่งอยู่บนนั้น
ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก!
หลี่มู่สนใจเคล็ดวิชานี้เป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่จำต้องมีการสนับสนุนจากกำลังภายใน หลี่มู่จึงไม่สามารถฝึกฝนได้ ในใจรู้สึกเสียดายนัก
แต่ทันใดนั้น หลี่มู่พลันนึกขึ้นได้ ในเมื่อเขาได้หลักการควบคุมกล้ามเนื้อและกระดูกหลังจากสำเร็จ ‘ค้อนทะยานฟ้า’ และ ‘ลิ่มสวรรค์’ ทั้งสองท่าในขั้นต้นแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าต่อให้ไม่มีกำลังภายใน เขาก็อาจคิดหาหนทางอื่น และฝึกฝนวิชาเปลี่ยนร่างนี้ผ่านการควบคุมกล้ามเนื้อได้มิใช่หรือ?
คิดถึงตรงนี้ หลี่มู่ตัดสินใจยังไม่รีบร้อนยุติการฝึกฝน หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วหันกลับไปศึกษาอย่างละเอียด
……
“แย่แล้ว จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี?”
เฝิงหยวนซิงเดินกระสับกระส่ายไปมาเหมือนมดบนหม้อร้อนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ
เด็กรับใช้บัณฑิตสองคนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ต่างแสดงสีหน้าจนปัญญา
หนึ่งวันสุดท้ายก่อนศึกตัดสินระหว่างสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้าในอำเภอเมือง ทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์ชุลมุนวุ่นวาย ผู้คนของสองสำนักใหญ่มารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ มีการต่อสู้เกิดขึ้นตลอดเวลา พลเรือนจำนวนมากจำต้องอพยพพาครอบครัวออกจากเมืองไปเพื่อหลบลูกหลง แต่มีรายงานว่ามีเหล่าโจรดักซุ่มปล้นชิงอยู่นอกเมือง ผู้ลี้ภัยบางคนออกจากอำเภอเมืองไปได้ไม่นานก็ต้องจบชีวิตลง
ชาวประชาอดอยากยากแค้นโดยแท้
เฝิงหยวนซิงพยายามลงแรงรักษาสถานการณ์อย่างเต็มที่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าใด
เหตุผลหลักคือในช่วงเวลานี้ หลี่มู่ในฐานะขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์เอาแต่เก็บตัวฝึกฝน ผู้คนต่างคิดว่าหลบหนีไปก่อนนานแล้ว ภายใต้ข่าวลือต่างๆ ความน่าเกรงขามของทางการอำเภอขาวพิสุทธิ์ลดลงเป็นอย่างมาก ไม่เหลืออิทธิพลอีก และไม่อยู่ในสายตาของคนในยุทธภพปานนั้นแล้ว แม้ว่าเฝิงหยวนซิงพยายามกว่านี้ ไปเจรจาต่อรองกับพรรคทั้งสองด้วยตนเอง ก็กลับถูกขับไล่ออกมา ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลย
เฝิงหยวนซิงยังได้ข่าวมาอีกว่า นอกเหนือจากสถานการณ์ที่ทั้งสองพรรคจะก่อศึกใหญ่ในเมือง ยังมีกองกำลังขนาดเล็กบางกลุ่มเตรียมฉวยโอกาสนี้กระทำการบางอย่างในเมืองด้วย โดยเฉพาะกลุ่มโจรที่ถึงขั้นจะอาศัยความวุ่นวายนี้ปล้นชิงอย่างเปิดเผย
ทำเอาเฝิงหยวนซิงเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนอย่างไม่เคยมีมาก่อน กำลังทหารในอำเภอขาวพิสุทธิ์มีไม่เพียงพอ อีกทั้งส่งม้าเร็วขอกำลังเสริมไปทางเมืองฉางอันสิบกว่าชุดแล้ว ก็ล้วนเหมือนวัวดินจมสมุทรทั้งสิ้น ไม่มีข่าวคราวกลับมา กำลังเสริมไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด ชัดเจนว่าไร้ความหวังแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เฝิงหยวนซิงที่เสพติดอำนาจขุนนางพอแล้วรู้สึกถึงแรงกดดันของผู้ปกครองเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังทำให้เขาตระหนักว่าขุนนางเมืองที่สูงส่งใช่ว่าจะสะดวกสบายและมีอิสระกว่าพวกเขาเหล่าขุนนางชั้นผู้น้อย ผู้มีตำแหน่งสูงต้องแบกรับแรงกดดันที่มากกว่า
เฝิงหยวนซิงร้อนใจจนผมจะขาวหมดหัวแล้ว
โดยเฉพาะข่าวลือสารพัดในช่วงนี้ที่ล้วนคิดว่าหลี่มู่หลบหนีไปแล้ว ในใจเฝิงหยวนซิงก็ไม่มั่นใจเช่นกัน ผ่านไปนานขนาดนี้ยังไม่เห็นหลี่มู่ ท่านขุนนางเมืองคงไม่ได้แอบหลบหนีไปจริงๆ กระมัง?
เขากังวลจนเดินวนเป็นวงกลม
อีกด้านหนึ่งหมิงเยวี่ยน้อยอยู่ในท่าเท้าคาง ใบหน้าเล็กที่อวบอิ่มไม่ทุกข์ไม่ร้อน เอ่ยอย่างรำคาญว่า “นี่ เจ้าคนขี้ประจบ อย่าเอาแต่วิ่งวนไปมาสิ ทำคนอื่นตาลายไปหมดแล้ว”
“ข้าร้อนใจอยู่ไม่ใช่หรือไร?” เฝิงหยวนซิงกล่าวอย่างขมขื่น
เขายอมรับที่เด็กทึ่มหมิงเยวี่ยเรียกเขาเป็นคนประจบสอพลอโดยไม่รู้ตัว
“คุณชายน้อยชิงเฟิง ไม่อย่างนั้นท่านไปพบใต้เท้าที่ห้องฝึกยุทธ์สักหน่อย บอกให้ใต้เท้ายุติการเก็บตัวออกมาจัดการสถานการณ์ภายนอก” เฝิงหยวนซิงทอดมองอย่างวิงวอนไปยังเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง ในหลายวันมานี้ การคิดแผนและวางหมากเยี่ยงผู้ใหญ่ของเด็กชาย ทำให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างเฝิงหยวนซิงต้องมองมุมใหม่ และทำเหมือนเด็กที่โตก่อนวัยผู้นี้เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา