จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 36

สรุปบท บทที่ 36 ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว: จอมศาสตราพลิกดารา

สรุปตอน บทที่ 36 ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว – จากเรื่อง จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

ตอน บทที่ 36 ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง จอมศาสตราพลิกดารา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 36 ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว
ProjectZyphon
ผลที่สังเกตเห็นได้มากที่สุดคือทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกทั้งร่างกายได้รับการชำระล้างในขั้นสูงสุด ขจัดสิ่งสกปรกภายในออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งยังมีชั้นน้ำมันสีเทาเนื้อละเอียดถูกขับออกผ่านรูขุมขน ระดับความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ กระดูก หลอดเลือด และผิวหนังย่อมยกระดับขึ้นสูงมากด้วย

หลี่มู่รู้สึกได้อย่างชัดเจน เมื่อเชื่อมโยงทั้งสองกระบวนท่าแล้ว ภายใต้การกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง การควบคุมร่างกายของตัวเองก็ชำนาญขึ้นไปอีกระดับ

ความเชี่ยวชาญประเภทนี้ไม่ได้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองในแบบทั่วไป ไม่ใช่แม้กระทั่งความชำนาญในการใช้ส่วนอื่นๆ เช่นมือเท้า พลัง หรือแขนขา แต่เรียกได้ว่าเป็นความชำนาญระดับละเอียดอ่อน เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อ ผิวหนัง รูขุมขน กระดูกและเส้นเอ็นได้ในระดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่นเขาเพียงรวบรวมสมาธิ ก็สามารถปิดรูขุมขนบนผิวหนังบางจุดได้อย่างสมบูรณ์

นี่หมายความว่าหากหลี่มู่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ในอนาคต เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณบาดแผลเพื่อปิดปากแผล หลีกเลี่ยงไม่ให้เสียเลือดมากเกินไป และรักษาพลังกายให้อยู่ในระดับสูงสุดได้

การควบคุมถึงขั้นนี้ แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือศิลปะการต่อสู้ก็ยังไม่สามารถทำได้

‘ ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เกินกว่าสุดยอดวิชายุทธ์ใดๆ บนดาวดวงนี้ไปแล้ว ที่ซินแสเฒ่าบอกว่าเป็นวิชาเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ระดับการพัฒนาศักยภาพร่างกายกับพลังการต่อสู้ประเภทนี้เป็นพลังระดับตำนานสำหรับจอมยุทธ์บนดาวดวงนี้เลย’

ยิ่งหลี่มู่ชำนาญพลังของวิชาทั้งสองนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ในใจเขายิ่งตื่นตะลึงและปลงอนิจจัง

ซินแสเฒ่าเป็นเซียนโดยแท้

หนึ่งชั่วยามกว่าต่อมา หลี่มู่ยุติการเก็บตัวฝึกฝนครั้งนี้ลง

เขาตระหนักได้ว่าขอบเขตการเปลี่ยนแปลงรอบนี้หยุดอยู่แค่ตรงนี้แล้ว

หากอยากจะพัฒนาต่อไปอีกขั้น หลี่มู่ต้องผ่านการต่อสู้อีก รวมทั้งต้องศึกษาตำราวรยุทธ์กับวิชาการต่อสู้เพิ่มเติม และสั่งสมความรู้ประสบการณ์ ขยายโลกทัศน์ต่อไป

มิฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีสองวิชาระดับเซียนอยู่ในมือ ก็ไม่สามารถปิดตัวเองไม่สนใจโลกภายนอกได้

หลี่มู่ยืนขึ้นแล้วเดินไปยังประตูห้องฝึกยุทธ์

“เอ๋?”

ขณะที่ผ่านชั้นวางโบราณ หลี่มู่กวาดตามองโดยไม่ได้ตั้งใจ และเห็นหนังสือเล่มหนึ่งอยู่บนนั้น

ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก!

หลี่มู่สนใจเคล็ดวิชานี้เป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่จำต้องมีการสนับสนุนจากกำลังภายใน หลี่มู่จึงไม่สามารถฝึกฝนได้ ในใจรู้สึกเสียดายนัก

แต่ทันใดนั้น หลี่มู่พลันนึกขึ้นได้ ในเมื่อเขาได้หลักการควบคุมกล้ามเนื้อและกระดูกหลังจากสำเร็จ ‘ค้อนทะยานฟ้า’ และ ‘ลิ่มสวรรค์’ ทั้งสองท่าในขั้นต้นแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าต่อให้ไม่มีกำลังภายใน เขาก็อาจคิดหาหนทางอื่น และฝึกฝนวิชาเปลี่ยนร่างนี้ผ่านการควบคุมกล้ามเนื้อได้มิใช่หรือ?

คิดถึงตรงนี้ หลี่มู่ตัดสินใจยังไม่รีบร้อนยุติการฝึกฝน หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วหันกลับไปศึกษาอย่างละเอียด

……

“แย่แล้ว จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี?”

เฝิงหยวนซิงเดินกระสับกระส่ายไปมาเหมือนมดบนหม้อร้อนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ

เด็กรับใช้บัณฑิตสองคนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ต่างแสดงสีหน้าจนปัญญา

หนึ่งวันสุดท้ายก่อนศึกตัดสินระหว่างสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้าในอำเภอเมือง ทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์ชุลมุนวุ่นวาย ผู้คนของสองสำนักใหญ่มารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ มีการต่อสู้เกิดขึ้นตลอดเวลา พลเรือนจำนวนมากจำต้องอพยพพาครอบครัวออกจากเมืองไปเพื่อหลบลูกหลง แต่มีรายงานว่ามีเหล่าโจรดักซุ่มปล้นชิงอยู่นอกเมือง ผู้ลี้ภัยบางคนออกจากอำเภอเมืองไปได้ไม่นานก็ต้องจบชีวิตลง

ชาวประชาอดอยากยากแค้นโดยแท้

เฝิงหยวนซิงพยายามลงแรงรักษาสถานการณ์อย่างเต็มที่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าใด

เหตุผลหลักคือในช่วงเวลานี้ หลี่มู่ในฐานะขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์เอาแต่เก็บตัวฝึกฝน ผู้คนต่างคิดว่าหลบหนีไปก่อนนานแล้ว ภายใต้ข่าวลือต่างๆ ความน่าเกรงขามของทางการอำเภอขาวพิสุทธิ์ลดลงเป็นอย่างมาก ไม่เหลืออิทธิพลอีก และไม่อยู่ในสายตาของคนในยุทธภพปานนั้นแล้ว แม้ว่าเฝิงหยวนซิงพยายามกว่านี้ ไปเจรจาต่อรองกับพรรคทั้งสองด้วยตนเอง ก็กลับถูกขับไล่ออกมา ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลย

เฝิงหยวนซิงยังได้ข่าวมาอีกว่า นอกเหนือจากสถานการณ์ที่ทั้งสองพรรคจะก่อศึกใหญ่ในเมือง ยังมีกองกำลังขนาดเล็กบางกลุ่มเตรียมฉวยโอกาสนี้กระทำการบางอย่างในเมืองด้วย โดยเฉพาะกลุ่มโจรที่ถึงขั้นจะอาศัยความวุ่นวายนี้ปล้นชิงอย่างเปิดเผย

ทำเอาเฝิงหยวนซิงเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนอย่างไม่เคยมีมาก่อน กำลังทหารในอำเภอขาวพิสุทธิ์มีไม่เพียงพอ อีกทั้งส่งม้าเร็วขอกำลังเสริมไปทางเมืองฉางอันสิบกว่าชุดแล้ว ก็ล้วนเหมือนวัวดินจมสมุทรทั้งสิ้น ไม่มีข่าวคราวกลับมา กำลังเสริมไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด ชัดเจนว่าไร้ความหวังแล้ว

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เฝิงหยวนซิงที่เสพติดอำนาจขุนนางพอแล้วรู้สึกถึงแรงกดดันของผู้ปกครองเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังทำให้เขาตระหนักว่าขุนนางเมืองที่สูงส่งใช่ว่าจะสะดวกสบายและมีอิสระกว่าพวกเขาเหล่าขุนนางชั้นผู้น้อย ผู้มีตำแหน่งสูงต้องแบกรับแรงกดดันที่มากกว่า

เฝิงหยวนซิงร้อนใจจนผมจะขาวหมดหัวแล้ว

โดยเฉพาะข่าวลือสารพัดในช่วงนี้ที่ล้วนคิดว่าหลี่มู่หลบหนีไปแล้ว ในใจเฝิงหยวนซิงก็ไม่มั่นใจเช่นกัน ผ่านไปนานขนาดนี้ยังไม่เห็นหลี่มู่ ท่านขุนนางเมืองคงไม่ได้แอบหลบหนีไปจริงๆ กระมัง?

เขากังวลจนเดินวนเป็นวงกลม

อีกด้านหนึ่งหมิงเยวี่ยน้อยอยู่ในท่าเท้าคาง ใบหน้าเล็กที่อวบอิ่มไม่ทุกข์ไม่ร้อน เอ่ยอย่างรำคาญว่า “นี่ เจ้าคนขี้ประจบ อย่าเอาแต่วิ่งวนไปมาสิ ทำคนอื่นตาลายไปหมดแล้ว”

“ข้าร้อนใจอยู่ไม่ใช่หรือไร?” เฝิงหยวนซิงกล่าวอย่างขมขื่น

เขายอมรับที่เด็กทึ่มหมิงเยวี่ยเรียกเขาเป็นคนประจบสอพลอโดยไม่รู้ตัว

“คุณชายน้อยชิงเฟิง ไม่อย่างนั้นท่านไปพบใต้เท้าที่ห้องฝึกยุทธ์สักหน่อย บอกให้ใต้เท้ายุติการเก็บตัวออกมาจัดการสถานการณ์ภายนอก” เฝิงหยวนซิงทอดมองอย่างวิงวอนไปยังเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง ในหลายวันมานี้ การคิดแผนและวางหมากเยี่ยงผู้ใหญ่ของเด็กชาย ทำให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างเฝิงหยวนซิงต้องมองมุมใหม่ และทำเหมือนเด็กที่โตก่อนวัยผู้นี้เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันไปแล้ว

“ขโมยอะไร?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

ร่างของหลี่มู่ปรากฏขึ้นที่ประตูด้านข้าง และเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

“คุณชาย…”

“นายท่าน ในที่สุด…ท่านก็ออกจากการเก็บตัวฝึกฝน?”

เมื่อพวกเขาสามคนเห็นหลี่มู่ก็ดีอกดีใจยกใหญ่

หลี่มู่พยักหน้ายิ้มๆ กล่าวว่า “ใช่ ออกมาแล้ว ใช้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านานสักหน่อย หืม?…ศิษย์พี่ต้วนสุ่ยหลิวล่ะ? เมื่อครู่ข้าให้เขาออกมายังโถงนี้ก่อนแท้ๆ ทำไมถึงไม่เห็น?”

“เข้าไปอีกครั้งน่ะเจ้าค่ะ” เด็กโง่หมิงเยวี่ยทำหน้าระริกระรี้ ขยับเข้ามาเอ่ย “คุณชายเจ้าคะ ศิษย์พี่ใหญ่ของท่านช่างหล่อเหลานัก เขาเป็นคนที่ใด แต่งงานแล้วหรือไม่?”

หลี่มู่พูดไม่ออก เขายกมือเขกหน้าผากเด็กทึ่ม จากนั้นหันไปมองเฝิงหยวนซิงและถามว่า “สถานการณ์ในเมืองตอนข้าเก็บตัวฝึกตนเป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เฝิงหยวนซิงพลันหลั่งน้ำตาออกมา

ในที่สุดท่านก็รู้จักบริหารบ้านเมืองแล้วใช่หรือไม่?

เฝิงหยวนซิงเหมือนเด็กนักเรียนที่มีเรื่องจะฟ้องมากมายหาครูประจำชั้นพบ เขารายงานสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองช่วงนี้ ความจองหองและอหังการต่างๆ ของคนในยุทธภพ พูดออกมาหมดเปลือกโดยไม่เก็บงำไว้

“มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นด้วย?”

ยังฟังไม่จบดี หลี่มู่ก็โมโหถึงขีดสุดแล้ว

คนในยุทธภพเหล่านี้เป็นเหมือนก้อนเนื้อร้ายจริงๆ

นี่มันกระตุกหางเสือชัดๆ

สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือ คนโง่พวกนี้ลือกันว่าเขาหนีไปแล้วเสียได้…แม้ว่าข้ามีแผนการจะหนีอยู่จริงก็เถอะ แต่ทำไมคนต่างดาวที่โง่เขลาถึงคาดเดาได้แม่นยำขนาดนี้ ยกโทษให้ไม่ได้แล้ว

……………………………………

[1]ภรรยาดีหากไม่มีข้าวก็ไม่อาจปรุงอาหาร อุปมาว่า แม้เป็นผู้มีความสามารถ หากขาดปัจจัยจำเป็นไปก็ทำสำเร็จได้ยาก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา