จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 37

สรุปบท บทที่ 37 ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน: จอมศาสตราพลิกดารา

อ่านสรุป บทที่ 37 ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน จาก จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

บทที่ บทที่ 37 ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 37 ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน
ProjectZyphon
“คุณชาย เรื่องนี้ยอมไม่ได้นะเจ้าคะ รีบนำคนไปสังหารพวกมันเถอะ” เด็กน้อยหมิงเยวี่ยเผยด้านโง่ทึ่มและป่าเถื่อนออกมา กล่าวอย่างดุดันว่า “สังหารพวกมันไม่ต้องปรานี มอบบทเรียนให้กับพวกไร้ค่าในยุทธภพ ให้มันเข้าใจว่าในอำเภอขาวพิสุทธิ์ใครมีอำนาจเด็ดขาด”

โป๊ก

หลี่มู่ยกมือเขกหัวหมิงเยวี่ยอีกที

หมิงเยวี่ยกุมศีรษะทั้งน้ำตา “เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ…”

“ใต้เท้า ข้าขอความช่วยเหลือจากทางเมืองฉางอันไปแล้ว…” เฝิงหยวนซิงกล่าวถึงสิ่งที่เขาได้ทำไป พยายามแสดงความสามารถของตนออกมาสุดตัว เพื่อไม่ให้ใต้เท้ารู้สึกว่าเขาไร้ค่าและน่าผิดหวัง

“ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน” หลี่มู่พูดอย่างโกรธเคือง

“ใต้เท้ามองการณ์ไกล กล่าวตรงประเด็น ข้าน้อยรู้สึกเช่นเดียวกันขอรับ” เฝิงหยวนซิงบุ่มบ่ามกล่าวประจบ

ใครจะรู้ว่าเมื่อหลี่มู่กล่าวจบประโยคนั้น เขาจับคางพลางหรี่ตา เริ่มคิดอย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็หัวเราะ ก่อนเอ่ยกลับคำเหมือนหักหน้าตัวเองว่า “เฮ้อ เอาเถอะ…ขอความช่วยเหลือไปแล้วกัน ข้าต้องเก็บตัวฝึกตนเพื่อเผชิญหน้ากับ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ อีก ให้ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวของข้าช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เถอะ”

“อา? ใช่แล้วๆๆ ใต้เท้าช่างปราดเปรื่อง มองการณ์ไกล กล่าวตรงประเด็นนัก” เฝิงหยวนซิงตบคำเยินยอได้ทะเล่อทะล่ากว่าเดิม

หลี่มู่ ชิงเฟิง และหมิงเยวี่ยต่างก็มองไปที่เขาด้วยสายตาดูแคลนยิ่ง

เฝิงหยวนซิงรู้ตัวว่าคำเยินยอของตนไม่ได้เรื่อง จึงรีบเสริมอีก “ผู้คนในยุทธภพพวกนี้ช่างเป็นคนไร้ค่า จะฆ่าไก่ด้วยเขาวัวได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องถึงมือของใต้เท้าอยู่แล้วขอรับ”

หลี่มู่ถึงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ

“จิ๊” หมิงเยวี่ยน้อยแสดงสีหน้าดูหมิ่น

ทว่าเด็กชายรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงมีสีหน้ากังวล มีคนตลบตะแลงที่ประจบสอพลอเช่นนี้อยู่ข้างคุณชาย นับเป็นเรื่องดีที่ไหนกันเล่า

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปเก็บตัวฝึกตนต่อ” หลี่มู่หันกลับไปทางด้านหลังที่ว่าการ ขณะเดินก็พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวของข้าเป็นคนหล่อเหลา แข็งแกร่งโดดเด่น บุคลิกน่าเชื่อถือ ซื่อสัตย์ทั้งยังน่ารัก เป็นที่เคารพของผู้คนทุกช่วงวัย กล่าววาจามีอารยะ ยึดถือหลักแปดเกียรติยศแปดอัปยศ[1] ฝึกฝนอย่างหนัก พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เก่งกาจพอจะกวาดล้างพวกเลวทรามต่ำช้าทั้งหมดโดยแท้ นายทะเบียนเฝิง อีกสักครู่ยามเขาออกมา จงให้ความร่วมมือกับเขาสุดกำลัง คำพูดเขาเปรียบเสมือนคำพูดข้า…อีกอย่าง หากพวกเจ้าทั้งสามไม่มีเรื่องอะไร ไม่สิ ไม่ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ห้ามมารบกวนข้าเด็ดขาด…นี่ พวกเจ้าหยุดเสีย ไม่ต้องตามมารบกวนข้า”

หลังจากหลี่มู่สั่งห้ามคนทั้งสามอย่างคร่ำเคร่ง ก็หัวเราะเสียงดังลั่น เงาร่างหายไปจากมุมของประตูข้างอย่างรวดเร็ว

เฝิงหยวนซิง ชิงเฟิง และหมิงเยวี่ยทั้งสามต่างมองหน้าสบตากันด้วยความมึนงงอยู่ในห้องโถงนั้น

ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าใต้เท้าปรากฏตัวครั้งนี้แปลกไปนัก

สักครู่ต่อมา

ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวที่หล่อเหลากำยำผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงพร้อมรอยยิ้มระรื่น

“เจอกันอีกแล้ว” บนใบหน้าหล่อเหลาของเขาประดับรอยยิ้มอบอุ่น กล่าวทักทายคนทั้งสามด้วยเสียงหัวเราะ “ข้าเพิ่งเจอศิษย์น้องหลี่มู่ เขาต้องการเก็บตัวฝึกตน บอกว่ามีเรื่องยุ่งยากบางอย่างอยากให้ข้าช่วยจัดการ นายทะเบียนเฝิง มีเรื่องอะไรกันแน่?”

ยามนี้เฝิงหยวนซิงไม่กล้าเหลวไหล เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยพูดกับหลี่มู่ก่อนหน้านี้ให้ฟังอีกรอบ

“คนในยุทธภพพวกนี้กำลังก่อปัญหาในเมือง ใกล้จะยกพวกปล้นบ้านผู้คนแล้ว” เฝิงหยวนซิงกล่าว “ท่านขุนนางเมืองมอบหมายให้ท่านจัดการเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าท่านคิดจะจัดการอย่างไร”

ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวหัวเราะ “จะทำอย่างไรได้? แน่นอนว่าข้าจะไปเล่นงานมารดาพวกมัน”

หอโบตั๋น โรงเตี๊ยมที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์

ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ อาหารแนะนำ ‘โบตั๋นหลากชนิด’ และ ‘ไก่น้ำเต้า’ เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ทั้งยังมีเหล้าข้าวบ่มเองซึ่งมีมนต์เสน่ห์มายาวนาน ทำให้การค้าเฟื่องฟูรุ่งโรจน์มาโดยตลอด

ในช่วงหลายวันมานี้เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์โกลาหลวุ่นวาย หอโบตั๋นกลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์สำหรับเหล่าคนในยุทธภพ

เวลาเที่ยงตรง ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า

เมื่อถึงเวลาอาหาร หอโบตั๋นอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ล้วนสะพายดาบและกระบี่ ร่ำสุราเล่นสนุก ส่งเสียงดังอื้ออึง จ้อกแจ้กจอแจ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่มีคำหยาบคายทุกชนิด กลิ่นสุราโชยอยู่ทั่ว

ในโถงรับรองชั้นแรก คนในยุทธภพประมาณยี่สิบถึงสามสิบคนดูคุ้นเคยกันดี แต่ละคนร่างใหญ่กำยำ กำลังดื่มสุราสรวลเสเฮฮา ครึกครื้นกันยิ่ง

“ฮ่าๆ วันนี้ข้ามีความสุขจริงๆ จัดการคนทัพเรือพวกนั้นจนร่ำไห้โหยหวน ทำให้พรรคป่าไผ่ของเรามีชื่อเสียงน่าครั่นคร้าม เงยหน้าอย่างภาคภูมิใจได้” ชายร่างอ้วนที่มีแผลเป็นจากดาบบนใบหน้าดื่มสุราข้าวครึ่งไหหมดในรวดเดียว แล้วโยนไหลงบนพื้น ร้องลั่นอย่างคึกคะนอง

“ฮึ ข้าไม่ดื่มเหล้าอื่น ข้าผู้นี้อยากดื่มเหล้าข้าวที่เจ้าบ่มเอง” ประมุขพรรคป่าไผ่นามว่าจ้าวหรงเฉิง ชื่อฟังดูสง่างาม แต่รูปลักษณ์กลับเป็นชายแข็งแรงกำยำดุจหมี สูงเกินหกฉื่อ แผ่นหลังกว้างเอวหนา บนใบหน้าดุร้ายมีรอยบากทางหนึ่ง ยิ่งเสริมความเหี้ยมให้อีกหลายส่วน เขาเหลือบมองเถ้าแก่เนี้ยพลางถามอย่างหยาบกระด้าง

“คือว่า…ประมุขจ้าว พวกท่านมากันจำนวนมาก เหล้าข้าวของข้าหมดแล้วจริงๆ” เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ประมุขพรรคป่าไผ่จ้าวหรงเฉิงยิ้มกว้างทันควัน รอยแผลเป็นบนใบหน้ายิ่งทำให้ดูดุร้ายน่ากลัว “ขายหมดแล้ว? ข้าไม่เชื่อ! เจ้าต้องกำลังดูถูกพวกข้าว่าไม่มีปัญญาจ่ายเป็นแน่?…หึๆ เว้นแต่เจ้าจะพาข้าไปตรวจที่ห้องเก็บสุราหลังร้านด้วยตัวเองข้าจึงจะเชื่อ…ฮ่าๆ”

มีประกายร้อนแรงลุกวาบในดวงตาของเขา

บุรุษทุกคนรู้ว่าหมายถึงอะไร

ในใจของเถ้าแก่เนี้ยเย็นยะเยือก นางได้ยินมาว่าในช่วงนี้หญิงบางคนถูกคนในยุทธภพย่ำยี หากนางไปยังห้องเก็บสุรากับคนหยาบช้าผู้นี้เพียงลำพัง ผลที่ตามมานั้นยากจะคาดเดา

“คือ…ข้า…” เถ้าแก่เนี้ยก้าวถอยอย่างต่อเนื่อง

จ้าวหรงเฉิงทะยานตัวขึ้น คว้าข้อมือของเถ้าแก่เนี้ยไว้ เปรียบดั่งคีมเหล็กสีดำกำลังหนีบรากบัวสีเขียวหยก สองสีเทียบกันแล้วน่าพรั่นพรึงนัก เขายิ้มชั่วร้ายพลางโน้มเข้าไปพูดว่า “หึๆ เถ้าแก่เนี้ย นี่เป็นความผิดของเจ้า เจ้าดูถูกพี่น้องพรรคป่าไผ่ของข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าผู้นี้จะทุบทำลายร้านของเจ้าเสีย?”

“ไม่…ท่านปล่อยข้า…ปล่อยข้า…” เถ้าแก่เนี้ยหวาดกลัวมาก พยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่สามารถสลัดหลุดได้

“ท่านแม่ ท่านแม่…เจ้าคนชั่วช้า รีบปล่อยท่านแม่ของข้านะ…” เด็กสาวอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีพลันวิ่งออกมาจากในครัวด้านหลัง ใบหน้าของนางตื่นกลัว แต่ยังพยายามรวบรวมความกล้า ใช้กำปั้นเด็กน้อยตีเข้าใส่จ้าวหรงเฉิง ผิวของเด็กสาวขาวนวล คิ้วตางดงามดั่งภาพวาด ใบหน้าน่ารักชวนให้คนหลงใหล เมื่อนางปรากฏตัว เสียงดังเอะอะรอบๆ ร้านพลันเงียบลง หลายคนรู้สึกเบื้องหน้าสว่างไสวเมื่อเห็นสาวงามคนนี้

“จู๋เอ๋อร์ เจ้าออกมาทำไม รีบกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้…เจ้า…ฟังคำแม่ กลับเข้าไปซะ” ใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยเต็มไปด้วยความตกใจกลัว

ทุกวันนี้ ผู้คนที่เข้าออกในโรงเตี๊ยมส่วนใหญ่เป็นพวกต่ำช้าหยาบคาย เถ้าแก่เนี้ยซ่อนบุตรสาวของนางไว้ในครัวมาโดยตลอด เพราะกลัวว่าคนในยุทธภพที่หื่นกระหายเหล่านี้เห็นเข้าจะมักมาก อย่างไรในเมืองก็มีเหล่าบุปผางามถูกโจรต่ำช้าย่ำยีแล้วหลายราย ไม่นึกว่าเมื่อเห็นมารดาถูกคุกคาม เด็กสาวผู้โง่เขลาจะพุ่งออกมา

ไม่ผิดคาด จ้าวหรงเฉิงประมุขพรรคป่าไผ่ตาลุกวาวทันใด ทันทีที่เห็นจู๋เอ๋อร์ก็ยิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหัวเราะลั่นออกมา “เถ้าแก่เนี้ย ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีลูกสาวที่งดงามเช่นนี้ ฮ่าๆๆ ทำไมเจ้าไม่รีบออกมาปรนนิบัติพวกข้าล่ะ เด็กน้อย เจ้าต้องการให้ข้าปล่อยท่านแม่เจ้าใช่หรือไม่ เอาอย่างนี้ ทำไมไม่ลองใช้ปากเล็กๆ ของเจ้าป้อนเหล้าข้าดูสักสองสามจอก แล้วข้าจะยอมปล่อยมารดาเจ้าไป เป็นอย่างไร…”

…………………………..

[1] แปดเกียรติยศแปดอัปยศ เป็นหลักการประพฤติตนที่พึงกระทำแปดข้อและไม่พึงกระทำแปดข้อของสาธารณรัฐประชาชนจีน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา