โป๊ก
หลี่มู่ยกมือเขกหัวหมิงเยวี่ยอีกที
หมิงเยวี่ยกุมศีรษะทั้งน้ำตา “เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ…”
“ใต้เท้า ข้าขอความช่วยเหลือจากทางเมืองฉางอันไปแล้ว…” เฝิงหยวนซิงกล่าวถึงสิ่งที่เขาได้ทำไป พยายามแสดงความสามารถของตนออกมาสุดตัว เพื่อไม่ให้ใต้เท้ารู้สึกว่าเขาไร้ค่าและน่าผิดหวัง
“ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน” หลี่มู่พูดอย่างโกรธเคือง
“ใต้เท้ามองการณ์ไกล กล่าวตรงประเด็น ข้าน้อยรู้สึกเช่นเดียวกันขอรับ” เฝิงหยวนซิงบุ่มบ่ามกล่าวประจบ
ใครจะรู้ว่าเมื่อหลี่มู่กล่าวจบประโยคนั้น เขาจับคางพลางหรี่ตา เริ่มคิดอย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็หัวเราะ ก่อนเอ่ยกลับคำเหมือนหักหน้าตัวเองว่า “เฮ้อ เอาเถอะ…ขอความช่วยเหลือไปแล้วกัน ข้าต้องเก็บตัวฝึกตนเพื่อเผชิญหน้ากับ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ อีก ให้ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวของข้าช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เถอะ”
“อา? ใช่แล้วๆๆ ใต้เท้าช่างปราดเปรื่อง มองการณ์ไกล กล่าวตรงประเด็นนัก” เฝิงหยวนซิงตบคำเยินยอได้ทะเล่อทะล่ากว่าเดิม
หลี่มู่ ชิงเฟิง และหมิงเยวี่ยต่างก็มองไปที่เขาด้วยสายตาดูแคลนยิ่ง
เฝิงหยวนซิงรู้ตัวว่าคำเยินยอของตนไม่ได้เรื่อง จึงรีบเสริมอีก “ผู้คนในยุทธภพพวกนี้ช่างเป็นคนไร้ค่า จะฆ่าไก่ด้วยเขาวัวได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องถึงมือของใต้เท้าอยู่แล้วขอรับ”
หลี่มู่ถึงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ
“จิ๊” หมิงเยวี่ยน้อยแสดงสีหน้าดูหมิ่น
ทว่าเด็กชายรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงมีสีหน้ากังวล มีคนตลบตะแลงที่ประจบสอพลอเช่นนี้อยู่ข้างคุณชาย นับเป็นเรื่องดีที่ไหนกันเล่า
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปเก็บตัวฝึกตนต่อ” หลี่มู่หันกลับไปทางด้านหลังที่ว่าการ ขณะเดินก็พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวของข้าเป็นคนหล่อเหลา แข็งแกร่งโดดเด่น บุคลิกน่าเชื่อถือ ซื่อสัตย์ทั้งยังน่ารัก เป็นที่เคารพของผู้คนทุกช่วงวัย กล่าววาจามีอารยะ ยึดถือหลักแปดเกียรติยศแปดอัปยศ[1] ฝึกฝนอย่างหนัก พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เก่งกาจพอจะกวาดล้างพวกเลวทรามต่ำช้าทั้งหมดโดยแท้ นายทะเบียนเฝิง อีกสักครู่ยามเขาออกมา จงให้ความร่วมมือกับเขาสุดกำลัง คำพูดเขาเปรียบเสมือนคำพูดข้า…อีกอย่าง หากพวกเจ้าทั้งสามไม่มีเรื่องอะไร ไม่สิ ไม่ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ห้ามมารบกวนข้าเด็ดขาด…นี่ พวกเจ้าหยุดเสีย ไม่ต้องตามมารบกวนข้า”
หลังจากหลี่มู่สั่งห้ามคนทั้งสามอย่างคร่ำเคร่ง ก็หัวเราะเสียงดังลั่น เงาร่างหายไปจากมุมของประตูข้างอย่างรวดเร็ว
เฝิงหยวนซิง ชิงเฟิง และหมิงเยวี่ยทั้งสามต่างมองหน้าสบตากันด้วยความมึนงงอยู่ในห้องโถงนั้น
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าใต้เท้าปรากฏตัวครั้งนี้แปลกไปนัก
สักครู่ต่อมา
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวที่หล่อเหลากำยำผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงพร้อมรอยยิ้มระรื่น
“เจอกันอีกแล้ว” บนใบหน้าหล่อเหลาของเขาประดับรอยยิ้มอบอุ่น กล่าวทักทายคนทั้งสามด้วยเสียงหัวเราะ “ข้าเพิ่งเจอศิษย์น้องหลี่มู่ เขาต้องการเก็บตัวฝึกตน บอกว่ามีเรื่องยุ่งยากบางอย่างอยากให้ข้าช่วยจัดการ นายทะเบียนเฝิง มีเรื่องอะไรกันแน่?”
ยามนี้เฝิงหยวนซิงไม่กล้าเหลวไหล เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยพูดกับหลี่มู่ก่อนหน้านี้ให้ฟังอีกรอบ
“คนในยุทธภพพวกนี้กำลังก่อปัญหาในเมือง ใกล้จะยกพวกปล้นบ้านผู้คนแล้ว” เฝิงหยวนซิงกล่าว “ท่านขุนนางเมืองมอบหมายให้ท่านจัดการเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าท่านคิดจะจัดการอย่างไร”
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวหัวเราะ “จะทำอย่างไรได้? แน่นอนว่าข้าจะไปเล่นงานมารดาพวกมัน”
…
หอโบตั๋น โรงเตี๊ยมที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ อาหารแนะนำ ‘โบตั๋นหลากชนิด’ และ ‘ไก่น้ำเต้า’ เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ทั้งยังมีเหล้าข้าวบ่มเองซึ่งมีมนต์เสน่ห์มายาวนาน ทำให้การค้าเฟื่องฟูรุ่งโรจน์มาโดยตลอด
ในช่วงหลายวันมานี้เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์โกลาหลวุ่นวาย หอโบตั๋นกลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์สำหรับเหล่าคนในยุทธภพ
เวลาเที่ยงตรง ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า
เมื่อถึงเวลาอาหาร หอโบตั๋นอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ล้วนสะพายดาบและกระบี่ ร่ำสุราเล่นสนุก ส่งเสียงดังอื้ออึง จ้อกแจ้กจอแจ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่มีคำหยาบคายทุกชนิด กลิ่นสุราโชยอยู่ทั่ว
ในโถงรับรองชั้นแรก คนในยุทธภพประมาณยี่สิบถึงสามสิบคนดูคุ้นเคยกันดี แต่ละคนร่างใหญ่กำยำ กำลังดื่มสุราสรวลเสเฮฮา ครึกครื้นกันยิ่ง
“ฮ่าๆ วันนี้ข้ามีความสุขจริงๆ จัดการคนทัพเรือพวกนั้นจนร่ำไห้โหยหวน ทำให้พรรคป่าไผ่ของเรามีชื่อเสียงน่าครั่นคร้าม เงยหน้าอย่างภาคภูมิใจได้” ชายร่างอ้วนที่มีแผลเป็นจากดาบบนใบหน้าดื่มสุราข้าวครึ่งไหหมดในรวดเดียว แล้วโยนไหลงบนพื้น ร้องลั่นอย่างคึกคะนอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา