พวกพรรคป่าไผ่พากันระเบิดเสียงหัวเราะ
จ้าวหรงเฉิงยิ้มเย็นชา จงใจทรมานนาง “แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าอยากเปลี่ยนมาลิ้มรสอะไรที่อ่อนนุ่มกว่าหน่อย…เด็กน้อย เจ้าต้องการช่วยมารดาของเจ้าหรือไม่ ถ้าอยากละก็ จงทำตามคำสั่งข้า ไม่อย่างนั้น…หึๆ…”
กล่าวไม่ทันจบ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“พรรคป่าไผ่เป็นกลุ่มสัตว์เดรัจฉานจริงๆ ด้วย”
เสียงที่ชัดเจนและหนักแน่นยิ่งดังมาจากประตูทางเข้าหอโบตั๋น
“เจ้าเป็นใคร? บังอาจกล่าววาจาสามหาวเช่นนี้ อยากตายหรือ?” จ้าวหรงเฉิงสีหน้าเย็นชา หันไปมองทางประตู
ศิษย์คนอื่นๆ ของพรรคป่าไผ่ต่างตบโต๊ะ คว้าจับอาวุธอย่างโหดเหี้ยม
“มีคนมาท้าทายถึงที่”
“มารดามันเถอะ…ไม่นึกว่าจะกล้ามาหาเรื่องพรรคป่าไผ่เรา”
“มันเป็นใคร จัดการสับมันเสีย”
ชั่วแวบเดียว โถงชั้นแรกของหอโบตั๋นเต็มไปด้วยแสงดาบเงากระบี่ บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวแผ่ปกคลุมไปทั่ว ผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดสองคนที่กินอาหารอยู่ต่างผุดลุกขึ้นแนบตัวเข้ากับผนังขณะสั่นระริก เพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงจากพรรคป่าไผ่
“พวกลูกหมาลูเซอร์แห่งยุทธภพ พวกเจ้าคงไม่อยากมีชิวิตอยู่แล้ว ถึงได้วิ่งมาทำอวดเบ่งที่อำเภอขาวพิสุทธิ์แบบนี้?” ตรงประตูทางเข้า ชายที่กล่าวเยาะหยันผู้นั้นก้าวเข้ามาทีละก้าว
ยามนี้ผู้คนมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา มีรัศมีอำนาจที่ห้าวหาญน่าครั่นคร้าม สามารถบรรยายได้ด้วยคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นบุรุษรูปงามจำพวกที่หญิงสาวนับไม่ถ้วนเห็นแล้วเกิดรักแรกพบได้
คนผู้นี้ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา
แม้คนทั้งหลายไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ลูเซอร์’ แต่พวกเขาเข้าใจว่าลูกหมาหมายถึงอะไร เมื่อรวมสองคำนี้เข้าด้วยกันชัดเจนว่าเป็นการเยาะเย้ยคนพรรคป่าไผ่ ไม่ใช่คำดีอะไร ทว่าวาจาของหนุ่มรูปงามคนนี้ก็โอหังเกินไปแล้ว เขาดูแคลนคนในยุทธภพทั้งหมดอย่างโจ่งแจ้ง โจมตีกันเป็นวงกว้างทีเดียว หรือเขาไม่กลัวว่าจะกระตุ้นความโกรธของมวลชน?
“ท่านเป็นใคร?” จ้าวหรงเฉิงคลายมือปล่อยเถ้าแก่เนี้ยและเสี่ยวจู๋แล้วยืนขึ้น เขาคว้าไม้พลองเหล็กสีดำสนิทสูงเทียมคิ้วอันหนา พร้อมกับแสดงท่าทีดุร้าย
“ข้าเป็นคนของทางการ”
ชายหนุ่มรูปงามเดินเข้ามาอย่างเอ้อระเหย
ข้างหลังเขามีคนหลายสิบคนตามมา ทั้งหมดสวมเกราะอ่อนของทหารมือปราบประจำที่ว่าการ เฝิงหยวนซิงผู้ดูแลจัดการบ้านเมืองในช่วงนี้ก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย
“คนของทางการ?” จ้าวหรงเฉิงแสยะยิ้ม
เหล่าสมาชิกพรรคป่าไผ่ที่เหลือแผดเสียงหัวเราะ
การเพิกเฉยในช่วงที่ผ่านมาทำให้ทางการกลายเป็นตัวตลกในอำเภอขาวพิสุทธิ์ไปแล้ว เปรียบเสมือนพยัคฆ์ที่ปราศจากเขี้ยวเล็บ ไม่อยู่ในสายตาของใครๆ อีกทั้งไม่กี่วันก่อน นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงยังถูกพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ขับไล่ออกจากฐานที่มั่น จนถึงตอนนี้แม้กระทั่งกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ บางกลุ่มยังไม่เกรงอำนาจของทางการกันแล้ว
ชายหนุ่มรูปงามไม่แยแส คลี่ยิ้มบางและพูดว่า “ขอแนะนำตัวก่อน ชายรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าผู้นี้คือศิษย์พี่ของขุนนางเมืองหลี่มู่ นามคือต้วนสุ่ยหลิว ทุกคนต่างเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว มาเพื่อกำจัดขยะโดยเฉพาะ”
“กำจัดขยะ?” จ้าวหรงเฉิงแค่นเสียงหยัน “เจ้ากำลังพูดว่าพรรคป่าไผ่ของข้าคือขยะ?”
“ไม่ๆๆ อย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวพลันหัวเราะกับตัวเองเหมือนนึกถึงเรื่องตลกบางอย่าง ขำจนท้องคัดท้องแข็ง ต้องใช้เวลานานพอสมควรจึงสงบลงได้ ชายหนุ่มกล่าวว่า “ข้าหมายถึงเหล่าจอมยุทธ์ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ตอนนี้ พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นขยะ!”
ภายในและภายนอกโรงเตี๊ยมมีเสียงสูดลมหายใจเฮือกเป็นแถบ
แม้แต่เฝิงหยวนซิงขุนนางใหญ่ที่มาพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวกับทหารมือปราบฝีมือดียี่สิบคนต่างก็อึ้งงันไปเล็กน้อย ศิษย์พี่ของท่านขุนนางเมืองผู้นี้พูดมากเกินไปแล้ว ต้องดึงดูดความโกรธแค้นเป็นแน่ ทุกคนโดนด่ารวมไปหมดเลยนา
“ฮ่าๆๆๆ ช่างพูดจาโอหังใหญ่โตนัก อย่างเจ้านับเป็นอะไรได้?” จ้าวหรงเฉิงหัวเราะดังลั่น กระทุ้งไม้พลองเหล็กชั้นดีอันหนาลงพื้น ทั่วทั้งหอโบตั๋นคล้ายสั่นสะเทือน จากนั้นแผดเสียงดัง พูดว่า “เจ้ารับไม้พลองนี้ของข้าให้ได้แล้วค่อยว่ากัน”
สิ้นคำ จ้าวหรงเฉิงระเบิดพลังใต้ฝ่าเท้า ชนโต๊ะเก้าอี้ข้างๆ กระจายออก เหมือนหมีดำตัวใหญ่ทะยานตึงตึงเข้ามา พลองเหล็กในมือกวัดแกว่งแยกคลื่นอากาศ ก่อนกลายเป็นแสงดำสายหนึ่งฟาดลงไปทันที
อานุภาพของพลองเหล็กเปรียบได้กับภูเขาถล่ม
เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ
จ้าวหรงเฉิงชายผู้นี้มีร่างกายพิเศษ เกิดมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมดา เมื่อเข้าสู่ขั้นรวมปราณก็ยิ่งแสดงพลังพรสวรรค์ที่สะพรึงกลัวออกมา จอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงหลายคนล้วนไม่กล้างัดข้อกับหมีดำตัวนี้ซึ่งหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา