สรุปเนื้อหา บทที่ 378 คนที่รู้สึกกดดันมากที่สุดในโลก – จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet
บท บทที่ 378 คนที่รู้สึกกดดันมากที่สุดในโลก ของ จอมศาสตราพลิกดารา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เพราะประมุขของวิหารเทพอาทิตย์เป็นถึงหนึ่งในเก้ายอดคนใต้หล้า
จักรพรรดิฉินหมิงสังหารหนึ่งในเก้าสุดยอดวิถียุทธ์ แล้วเขาเล่าเป็นอะไร?
จักรพรรดิทางโลกคนหนึ่งก็ถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งด้านยุทธ์เช่นกัน แต่ในขณะที่จอมยุทธ์แทบทั้งหมดภายใต้ผืนฟ้านี้เข้าใจอย่างแน่วแน่ว่า มีเพียงเก้ายอดคนใต้หล้าเท่านั้นที่เป็นจุดสูงสุดของเทพยุทธ์บนโลก จักรพรรดิทางโลกมีเพียงอำนาจสั่นคลอนเก้ายอดคนทว่าไม่อาจใช้กำลังต่อกรได้ จักรพรรดิฉินหมิงก็สังหารประมุขแห่งวิหารเทพอาทิตย์ลงแล้ว
นี่เป็นการโค่นล้มอย่างหนึ่ง
การโค่นล้มเช่นนี้หมายถึงเทพยุทธ์ทั้งเก้ายอดถูกทำลายลงแล้ว
และก็สื่อถึงว่าความสมดุลของเก้ายอดคนถูกทำลายลงด้วย
ผู้ครองจักรวรรดิทางโลกคนหนึ่งมีพลังพิชิตเหนือกว่าเก้ายอดคน จะนำอะไรมาสู่แผ่นดินใหญ่นี้?
คนมากมายล้วนกำลังถามตนเอง
การถามตนเองเช่นนี้ ทำให้คนบางส่วนตกอยู่ในความหวาดกลัว
อันดับแรกที่ต้องหวาดกลัวแน่นอนก็คือทั้งราชวงศ์ซ่งเหนือ
ฉินตะวันตกปรากฏจักรพรรดิที่สังหารเก้ายอดคนแบบนี้ นั่นหมายถึงต่อให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเขตฉินตะวันตกเละเทะจนไม่มีชิ้นดี กระทั่งต่อให้เมืองหลวงฉินตะวันตกถูกตีแตก ทั้งราชวงศ์เหลือเพียงจักรพรรดิฉินหมิงคนเดียว ฉินตะวันตกก็ยังไม่ถูกทำลาย…ไม่เพียงแต่ไม่ถูกทำลาย ขอแค่จักรพรรดิฉินหมิงต้องการ เขาสามารถสร้างดินแดนขึ้นใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว ถึงขั้นสร้างจักรวรรดิแข็งแกร่งอันดับหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาได้
เนื่องจากพลังยุทธ์ของเขาไปถึงที่สุดแล้ว จึงใช้สามารถกำลังของตนเองคนเดียวหมุนเปลี่ยนโชคชะตาของราชวงศ์
และพลังที่จักรพรรดิฉินหมิงสำแดงออกมาไม่ใช่แค่ไปถึงที่สุด แต่ทะลวงผ่านขีดสุดแล้ว
ทว่าเมื่อหันกลับไปมองสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในหนึ่งปีที่ผ่านมาบนแผ่นดินใหญ่เสินโจว ในบรรดานั้น หนึ่งในสามขั้วอำนาจที่พยายามช่วงชิงสิบเมืองเก้าพื้นที่ของฉินตะวันตกก็คือจักรวรรดิซ่งเหนือ
คนทั้งจักรวรรดิซ่งเหนือจะไม่กลัวได้อย่างไร?
จักรวรรดิซ่งเหนือตอนนี้ เต้าฉงหยางที่เป็นเก้ายอดคนรบจนตัวตาย สำนักพิทักษ์จักรวรรดิล่มสลาย ซ้ำยังอยู่ในช่วงความวุ่นวายภายในของเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ จะดูแลตัวเองยังลำบาก พูดได้ว่าเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุดในรอบพันปี หากจักรพรรดิฉินหมิงจัดการชนเผ่าทรายเรียบร้อย แล้วมีเวลาหันมาเก็บกวาดซ่งเหนือบ้าง เพื่อแก้แค้นเรื่องที่เสียด่านชายแดนไป…
ถึงตอนนั้น จักรพรรดิฉินหมิงลงกระบี่มายังฝั่งตะวันตก ซ่งเหนือทั้งหมดใครจะต้านทานคมกระบี่นี้ได้?
ดูเหมือนนอกจากการคุกเข่าสวามิภักดิ์ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วกระมัง?
หนึ่งพันปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่ราชวงศ์ซ่งเหนือกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตถูกควบรวมดินแดนอย่างแท้จริง
และสิ่งที่ทำให้ทั้งซ่งเหนือจุกอกยิ่งกว่าก็คือ การควบรวมเช่นนี้มาจากฉินตะวันตกที่เคยผ่านความยากลำบากมาด้วยกันเมื่อไม่นานก่อนหน้า
นอกจากซ่งเหนือแล้ว หนึ่งในสามจักรวรรดิอย่างฉู่ใต้ก็รู้สึกถึงแรงกดดันเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้เกิดแรงกดดันนี้ง่ายดายมาก
ดูผิวเผินแล้วเป็นเพราะยุคสมัยที่สามฝ่ายคานอำนาจกันพันปีมานี้ ฉู่ใต้มีข้อพิพาทกับฉินตะวันตกไม่น้อยเท่าไรนัก มีความแค้นระหว่างกันอยู่ และในเหตุผลเชิงลึกยิ่งเข้าใจง่ายขึ้นไปอีก เตียงของตนใครจะอยากให้คนอื่นมานอนฝันหวาน? ภายใต้สถานการณ์ที่แบ่งเป็นสามฝ่าย จู่ๆ จักรพรรดิฉินหมิงมีพลังกวาดล้างใต้หล้าขึ้นมา ถ้ายังพอใจกับการแบ่งปันละก็ เช่นนั้นคงเป็นคนโง่โดยแท้
ฝ่ายที่เหลือส่วนหนึ่ง ขั้วอำนาจที่เคยกระทบกระทั่งกับราชวงศ์ฉินตะวันตกรู้สึกถึงแรงกดดันกันทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่นพันธมิตรเผ่าผู้วิเศษจากแผ่นดินสุดแดนใต้
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก พวกคนเถื่อนซึ่งใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศพิษและบึงน้ำเหล่านี้ยังโหวกเหวกโวยวายว่าจะโต้กลับใจกลางแผ่นดินใหญ่ ทำลายฉินตะวันตกให้ราบอยู่เลย แล้วตอนนี้เล่า? ตนเองเริ่มตัวสั่นงันงกแล้ว สำนักมหาวารีกับสำนักฟ้าครามก็ปิดประตูสำนักตลอด นิ่งเฉยเสียยิ่งกว่าอะไร ยิ่งทำให้พวกเขาใจโหวงขึ้นไปอีก
ยังมีพวกกบฏเจิ้นซีอ๋อง รัชทายาทต้าเยวี่ยที่ยึดครองด่านชายแดนฉินตะวันตกอยู่…
ขอแค่เป็นคนหรือขั้วอำนาจที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉินตะวันตก ในเวลานี้ พอคิดถึงกระบี่ของจักรพรรดิฉินหมิง ไม่มีใครไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
แน่นอน แทบทุกคนล้วนเข้าใจตรงกัน บนโลกนี้คนที่รู้สึกกดดันมากที่สุดน่าจะไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นไท่ไป๋อ๋องในวันวานหรือ ‘ประชาชนชั้นต่ำ’ หลี่มู่นั่นเอง
ไม่กี่วันก่อนนี้ พระราชโองการของจักรพรรดิฉินหมิงถูกหลี่มู่ปฏิเสธรับ จึงไม่อาจเข้าไปในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้
แต่ผู้แทนพระองค์ก็ประกาศเนื้อหาของพระราชโองการที่ใต้เขาขาวพิสุทธิ์จนแพร่สะพัดไปทั่วดินแดนแล้ว
จักรพรรดิฉินหมิงถอดบรรดาศักดิ์ของหลี่มู่ ลดขั้นเป็นประชาชนชั้นต่ำ ภายในครึ่งเดือนนี้ให้เขาเข้าเมืองหลวงไปรับโทษ
ไม่ผิดความคาดหมาย
เมื่อก่อน บนแผ่นดินใหญ่เคยมีคนพูดเล่นว่าให้จับตาดูประวัติการสร้างชื่อเสียงของหลี่มู่อย่างละเอียด ซึ่งความจริงแล้วเป็นประวัติความสำเร็จที่ได้จากการเหยียบหัวสมาชิกราชวงศ์ฉินตะวันตกขึ้นไปทีละก้าวๆ แรกสุดคือบุตรผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋อง ต่อมาก็องค์ชายสอง ถัดมาเป็นองค์รัชทายาท ตอนนี้เหลือแค่สังหารจักรพรรดิฉินตะวันตกก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ขนาดรัชทายาทยังสังหาร จักรพรรดิฉินหมิงจะอดกลั้นต่อหลี่มู่ได้หรือ?
สิ่งเดียวที่ทำให้คนมากมายรู้สึกเกิดคาดก็คือ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิฉินหมิงลงกระบี่ทำลายเมืองขาวพิสุทธิ์ได้เลยในดาบเดียวหรือ? ทำไมต้องให้หลี่มู่ไปรับโทษในเมืองหลวง คิดอย่างไรโทษเช่นนี้ก็เบาไปหน่อย
หลี่มู่จะเข้าเมืองหลวงหรือไม่?
สายตาคนทั้งหลายจับจ้องไปที่เขาขาวพิสุทธิ์แห่งเมืองฉางอัน
……
หลี่มู่สรุปข้อบกพร่องของค่ายกลนี้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เปิดใช้ครั้งแรกสามารถย้ายคนได้แค่ครั้งละไม่เกินสิบคน หากเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะจะส่งได้เพียงครั้งละหนึ่งคน ส่วนพลังฝึกระดับกัวอวี่ชิง ต่อให้พยายามข่มพลังตัวเองไว้ก็ไม่อาจผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมาได้ เพราะพลังที่ร่างกายมีมหาศาลมากไป เกินกว่าขีดจำกัดที่ค่ายกลจะรับได้
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายใดๆ ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงของวัตถุและพลังงาน
ไม่ว่าวัตถุหรือพลังงาน หากเกินขีดจำกัดก็เกิดปัญหาทั้งสิ้น
ถึงอย่างไรหลี่มู่ก็เป็นนักเรียนดีที่เคยเรียนวิชาฟิสิกส์ระดับมัธยมต้น จึงอธิบายได้เข้าใจมาก
ดังนั้นหากพูดจากความหมายนี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายลำดับแรกนี้จึงถือเป็นขนาดเล็กได้เท่านั้น ไม่ใช่ระดับเตรียมยุทธศาสตร์การรบ หลังจากนี้ยังต้องค่อยๆ ปรับแต่ง เพิ่มขนาด ถึงจะทำให้การแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ระหว่างสำนักขุนคีรีและเขาขาวพิสุทธิ์เป็นจริงขึ้นได้
เรื่องนี้ต้องใช้เวลา
แน่นอนว่าเรื่องของค่ายกลเคลื่อนย้ายเป็นความลับสุดยอด ในเขาขาวพิสุทธิ์มีเพียงหลี่มู่และเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่รู้ ส่วนทางสำนักขุนคีรีมีเพียงคนระดับสูงอย่างสวีเซิ่งและเจ้าสำนักสวีเยวี่ยที่รู้…เรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มมาหลี่มู่ก็ได้รับความเห็นชอบจากสำนักขุนคีรีแล้ว
ส่วนเรื่องกลยุทธ์การขยายค่ายกล หลี่มู่ใจกว้างมาก เรียบเรียงวิชาเต๋ามิติทำเป็นรูปเล่ม ก่อนส่งให้สำนักขุนคีรีค่อยๆ ศึกษา หลี่มู่ไม่ต้องดูแลไปเสียทุกเรื่องด้วยตัวเองอีก
บรรพชนบอกแก่พวกเราไว้ ต้องกระจายอำนาจอย่างเหมาะสม เพาะบ่มคนใหม่ๆ ออกมานี่นะ
วันที่สองหลังจากเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายครั้งแรก หลิวจื่อหยวนและเด็กน้อยสองคนที่ค้างอยู่ในเขาขาวพิสุทธิ์ช่วงหนึ่งข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังสำนักขุนคีรี จากนั้นกลับวิหารเทพหมาป่าไปพร้อมกัวอวี่ชิง บอกลาหลี่มู่และชิวอิ่นน้องชายทั้งสองชั่วคราว
เวลาเดียวกันในเมืองขาวพิสุทธิ์ จากการแนะนำของหลี่มู่ เขาค่อยๆ คัดเลือกเด็กชาวบ้านที่อายุเหมาะสมมา และเริ่มบ่มเพาะคนสนิทของตนในเมือง
ในใจหลี่มู่ยังมีแผนการบางส่วน
ถ้าหากสามารถร่วมมือกับสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ร่วมกันชุบเลี้ยงคนขึ้นมาได้ก็จะยิ่งดี
อย่างไรเสียสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็สืบทอดมาเกือบพันปี มีภูมิหลังลึกซึ้ง อย่างน้อยก็เพียบพร้อมด้วยบุคลากรมากความสามารถ มีทุนมากกว่าเมืองขาวพิสุทธิ์ที่เพิ่งจะเริ่มก้าวแรก ถ้าเอาประโยคบนโลกมาพูด ความหมายน่าจะประมาณ ‘พันธมิตรจัดตั้งโรงเรียน’ นั่นเอง
หลี่มู่วางแผนพลางหาโอกาสไปคุยกับจ้าวหลิง ถ้าพบ ‘เทพกระบี่ขาวพิสุทธิ์’ จ้าวเสวี่ยได้จะดีที่สุด
หลังจากว่างบ้างแล้ว หลี่มู่ก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะไป๋ม่อโฉวทำเรือนดาบอลหม่านวุ่นวายไปหมด
………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา