หลี่มู่รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างไร้ความรู้สึก พลังจิตวิญญาณกระจัดกระจายราวขี่ม้าไม่รู้ทิศทาง เขามาถึงด้านในอาณาเขตไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง บนล่างซ้ายขวาไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความรู้สึกของเวลา กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และยากที่จะรวบรวมความคิดได้
ความรู้สึกเช่นนี้ประหลาดจนถึงที่สุด ภายในหัวรู้สึกถึงแต่ความสุขสมที่ยากจะอธิบาย เหมือนกับในเรื่องไซอิ๋วที่ซุนหงอคงฟังพระอาจารย์โพธิพร่ำสอน ฟังจนเข้าใจลึกซึ้ง แล้วรู้สึกเพียงยินดีจนยิ้มแย้มเบิกบานคล้ายตนเองยังรับไม่ค่อยไหว ทว่าหากให้บอกว่ายินดีที่จุดไหน กลับพูดออกมาไม่ได้เช่นกัน
ความลึกล้ำสุดแสน คือประตูเปิดสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพสิ่ง
นี่คือความรู้สึกลึกล้ำอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
พริบตาต่อมา…
“นาย นาย…”
ข้างหูพลันมีเสียงที่คุ้นเคยยิ่งแว่วมาจากไกลๆ
หลี่มู่สะดุ้งตกใจ ได้สติกลับมาโดยพลัน
เป็นหวางซืออวี่ที่กำลังจ้องเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใยอยู่ข้างๆ
“โฮ่ง คนเลี้ยง เจ้าโดนผีสิงหรือไงกัน?” เจ้าฮัสกี้นายพลมองหลี่มู่ด้วยสีหน้าดูถูก เอ่ยว่า “ขนาดรูปสลักวัวดำยังนั่งมองอยู่ได้ตั้งครึ่งชั่วยาม บ๊องไปแล้วหรือ”
หลี่มู่ประหลาดใจ “นี่ฉันนั่งดูไปหนึ่งชั่วยาม?”
หวางซืออวี่เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “ใช่ เมื่อกี้นายจ้องป้ายหินนี่ เหมือนวิญญาณหลุดออกไปนอกโลกแล้ว ยังกับถอดวิญญาณ เดี๋ยวก็ยิ้มแย้มเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า อีกเดี๋ยวร้องไห้ออกมา อีกเดี๋ยวก็โมโห ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ตอนแรกฉันคิดว่านายกำลังทำความเข้าใจเต๋าเลยไม่กล้ากวน แต่ดูสีหน้านายแล้วไม่ค่อยเข้าทีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นก็เลย…”
พูดถึงจุดนี้ หวางซืออวี่กล่าวด้วยสีหน้ากังวลและเสียใจ “เพื่อนยาก ฉันไม่ได้ทำลายโอกาสของนายไปใช่ไหม?”
เธอก็เคยอ่านนิยายกำลังภายในมาบ้าง อีกทั้งเมื่อมาถึงที่นี่ยังได้ยินบรรดาองครักษ์จวนอ๋องพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ เคยได้ยินเรื่องการเข้าฌานเอย การรู้แจ้งเอยมาเช่นกัน
หลี่มู่ส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่เป็นไร ก็แค่ถึงเวลาแล้ว ฉันเลยถอยออกมาได้” ไม่เช่นนั้น เสียงของหวางซืออวี่ที่ไม่มีพลังยุทธ์เลยจะปลุกเขาจากสภาวะประหลาดซึ่งลึกล้ำสุดแสนในความมืดได้อย่างไร
เพียงแต่ ในสัมผัสทั้งห้าของตนเองเมื่อครู่รู้สึกเพียงแค่พริบตาชัดๆ ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปถึงครึ่งชั่วยาม
หวางซืออวี่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมา ยิ้มบอกว่า “แบบนั้นก็ดี…จริงด้วย บนป้ายหินนี้มีอะไรกันแน่”
เธอสนอกสนใจมาก และอิจฉามากด้วย
วัวดำแบกศิลาเหมือนกัน ตัวอักษรด้านบนเหมือนกัน ทุกครั้งที่เธอตามบิดาบุญธรรมมาจุดธูปไหว้พระที่วัดซ่อนมรรคาก็มักจะเห็นอยู่เสมอ แต่ว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ส่วนหลี่มู่เพียงแค่มาเห็นครั้งแรก ก็เข้าสู่สภาวะรู้แจ้งแล้ว…น่าโมโหจริงๆ
หลี่มู่เล่าเรื่องเมื่อสักครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง “ป้ายหินวัวดำนี้แปลกมาก โดยเฉพาะตัวอักษรบรรทัดนี้ สามารถเหนี่ยวนำจิตใจฉันได้” พลังจิตวิญญาณของเขากว้างใหญ่ราวทะเล ได้ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ มา ยิ่งเหนือกว่าขั้นเทวะทั่วไป แต่เพียงมองแวบเดียวก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในสภาวะลึกล้ำสุดแสนเช่นนั้น ป้ายหินวัวดำนี้น่ากลัวนัก
ทว่า ตอนที่เขากลับไปดูอักษรประโยคนี้อีกครั้ง กลับเกิดเรื่องประหลาดขึ้น
ด้านหลังของแผ่นหิน ตัวอักษรบทที่หนึ่งของเต้าเต๋อจิงนั้นหายไปหมดแล้ว พื้นผิวราบเรียบ ลายหินกลมกลืนกัน เต็มไปด้วยร่องรอยลมฝนซัดสาด ประหนึ่งตัวอักษรเหล่านั้นเมื่อครู่เป็นแค่ภาพจินตนาการ
หวางซืออวี่ก็คิดว่าไม่ปกติ “เอ๋? ตัวอักษรหายไปแล้ว”
เธอวิ่งเข้าไป ใช้มือลูบผิวด้านหลังของป้ายหิน พูดขึ้นอย่างตกใจว่า “เหมือนไม่เคยมีตัวอักษรบรรทัดนั้นเลย ผิวหินหยาบๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หลี่มู่ นายรีบสัมผัสดูหน่อย ที่เข้าฌานเมื่อกี้ได้อะไรมาบ้างไหม”
“เหมือนจะไม่มีอะไรนะ…” หลี่มู่พูดออกมาจากจิตใต้สำนึก ใช้พลังจิตวิญญาณมองไปด้านใน จู่ๆ ก็เผยสีหน้าประหลาดออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” หวางซืออวี่ถามเขา
หลี่มู่ไม่พูดอะไร แต่ยกมือขึ้นมา
ห่างออกไปราวสามจั้ง ต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าขนาดห้าหกคนโอบขาดออกเป็นยี่สิบสามสิบท่อนอย่างไร้สุ้มเสียง รอยตัดเรียบดุจผิวกระจก จากนั้นเมื่อถูกลมพัด เปลวเพลิงลุกพรึ่บขึ้นมา เปล่งแสงวูบวาบเล็กน้อย ก่อนหายวับไปในอากาศ
“โฮ่ง?!” เจ้าฮัสกี้นายพลกระโดดเหยง
“ว้าว ร้ายกาจขนาดนี้เลย?” หวางซืออวี่ก็ตกใจด้วย
สองคนหนึ่งสุนัขมาถึงจุดที่ต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าตั้งอยู่
เห็นเพียงว่าพื้นดินเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง เมื่อก้มลงดู กระทั่งรากต้นไม้ก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นธุลีลอยไปหมดแล้ว ตำแหน่งเดิมของรากกลายเป็นรูเล็กๆ ใหญ่ๆ หลายสาย คดเคี้ยวไปมาเหมือนกับรังมดยักษ์ ต่อให้เป็นรูของรากที่เล็กเรียวปานเส้นผมก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน
ไอร้อนพุ่งออกมาจากรูด้านล่างนี้
หวางซืออวี่และเจ้าฮัสกี้หนึ่งคนหนึ่งสุนัขมองมาทางหลี่มู่
หลี่มู่เองก็ตกตะลึง
นี่คือพลังสังหารขั้นที่หนึ่งของ ‘จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน’ ที่เขาตั้งใจอนุมานก่อนหน้า
เมื่อครู่ที่ยกมือฟันดาบ ปล่อยจิตดาบออกไป โดยพื้นฐานถือว่าอยู่ในสภาวะไร้รูปไร้กลิ่นแล้ว
สำเร็จจิตดาบขั้นต้น!
หลี่มู่ยินดีในใจ ไม่คิดว่าการกระทำโดยไม่ไตร่ตรองจะได้รับสิ่งที่น่าตกใจเช่นนี้มา
นี่ต้องเกี่ยวข้องกับตัวอักษรบทที่หนึ่งของเต้าเต๋อจิงบนป้ายหินวัวดำแน่นอน
หลี่มู่ตั้งสติและทำความเข้าใจ
จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทานหลายสายฟันผ่าอากาศภายใต้การควบคุมของเขา การใช้งานค่อยๆ คุ้นเคยมากขึ้น เพียงแค่นึกก็แบ่งจิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทานออกมาได้ถึงหกสาย เปลี่ยนแปลงสภาพระหว่างจริงและปลอม ฟาดฟันได้น่าตกใจ ซ้ำยังผสานวิชาดาบ ‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่หลี่มู่คิดค้นเข้าไป จากนั้นใช้จิตดาบสำแดงวิชาดาบออกมา
“ร้ายกาจจริงๆ”
ใบหน้าของเขาเผยความตกใจระคนยินดี
ปรัชญาเมธีบนดาวโลกยอมแล้วรับว่า ‘เต้าเต๋อจิง’ เป็นราชาแห่งหมื่นคัมภีร์ ตำราคัมภีร์มากมายของคนรุ่นหลัง วิวัฒน์มาจากรากฐานของ ‘เต้าเต๋อจิง’ ทั้งสิ้น นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของบทที่หนึ่งเท่านั้น แค่พริบตาก็ทำให้เขาสำเร็จจิตดาบขั้นแรกได้แล้ว
หลี่มู่พลันรู้สึกสนใจสิ่งของอื่นๆ ที่เก็บซ่อนไว้ใน ‘วิหารเต้าเต๋อ’ นี้เสียแล้ว
หวางซืออวี่บอกว่าแต่ก่อนที่นี่เคยเก็บซ่อนเครื่องบรรณาการและวัตถุโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ไว้มากมาย ถ้าหลี่มู่เดาไม่ผิด น่าจะเป็นสิ่งของบางส่วนที่ปรัชญาเมธีเหล่าจื่อทิ้งเอาไว้ตอนนั้น หากได้สิ่งเหล่านี้มา ไม่แน่ว่าตนเองอาจจะบรรลุขั้นสมบูรณ์ของ ‘จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน’ ก็เป็นได้
ถึงแม้บอกว่า ‘จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน’ เป็นวิชาโจมตีสังหารศัตรู ไม่เกี่ยวข้องกับขั้นพลัง แต่มีวิชาป้องกันตัวเองเพิ่มมาสักหนึ่งวิชาก็เก็บไว้เป็นไพ่ลับได้ หลี่มู่ตอนนี้มี ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ อยู่ในมือ และยังมี ‘วิชาก่อนกำเนิด’ การเลื่อนขั้นพลังนั้นไม่ยาก แต่ที่ยากคือการหาวิชาต่อสู้ของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าจื่อทิ้ง ‘เต้าเต๋อจิง’ บทที่หนึ่งเอาไว้บนป้ายหินวัวดำนี้ เช่นนั้นเต้าเต๋อจิงบทอื่นๆ ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ที่โบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์เหล่านั้น นั่นเป็นถึง ‘เต้าเต๋อจิง’ ที่เหล่าจื่อทิ้งไว้เอง ไม่เหมือนคัมภีร์คัดลอกทั่วไปของคนรุ่นหลังบนดาวโลกแน่นอน อาจจะมีประโยชน์ต่อพลังฝึกของหลี่มู่มาก
พริบตานี้ หลี่มู่ตัดสินใจแล้วว่าจะไปดูที่หลินอันเมืองหลวงของซ่งเหนือเสียหน่อย
เพราะจากคำพูดของหวางซืออวี่ วังประสานฟ้าที่เก็บซ่อนวัตถุโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ไว้อยู่ในเมืองหลินอัน
เขาตรวจค้นทั่วทั้งวิหารเต้าเต๋ออีกครั้ง กระทั่งใช้เนตรสวรรค์ตรวจสอบ แต่ไม่มีอะไรอยู่อีก ดูท่าทางสิ่งของในนี้คงถูกย้ายออกไปหมดแล้ว
หลี่มู่โค้งคำนับที่ด้านหน้าวิหาร จากนั้นจึงออกมา
ยามกลับมาถึงอาศรมด้านหน้า ปาเสียนอ๋องที่พักผ่อนจนเพียงพอแล้วกำลังดื่มชาสนทนากับจ้าวจี้
เมื่อเห็นพวกหลี่มู่สองคนเดินเข้ามา ปาเสียนอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้ว ฮ่าๆ ไปที่วิหารเต้าเต๋อมาแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่อวี่เอ๋อร์มาวัดซ่อนมรรคา จะต้องแวะไปนั่งดูที่วิหารเต้าเต๋อ บอกว่าที่นั่นมีร่องรอยของบ้านเกิดนาง แต่พอถามว่าบ้านเกิดนางอยู่ที่ไหนกลับไม่ยอมบอก ท่านเทวะหลี่กับอวี่เอ๋อร์เป็นคนบ้านเดียวกัน ข้าไม่ต้องเดาก็รู้ว่าท่านต้องสนใจวิหารเต้าเต๋อแน่นอน”
หลี่มู่ตอบกลับยิ้มๆ “ถูกต้อง เมื่อเห็นก็คิดถึงขึ้นมาเลย รู้สึกสนใจจริงๆ ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าท่านอ๋องวางแผนจะทำอย่างไรต่อ?”
ปาเสียนอ๋องบอก “ข้าจะรีบกลับไปเมืองหลินอันโดยเร็ว จิ้นอ๋องตายแล้ว สถานการณ์ต้องวุ่นวาย พวกกบฏทั้งเจ็ดที่เหลือจะต้องแย่งชิงอำนาจของจิ้นอ๋องเป็นแน่ ข้าหวังว่าจะช่วยองค์จักรพรรดิโจมตี แย่งพื้นที่ศักดินาของจิ้นอ๋องคืนมาได้ก่อน จากนั้นค่อยโจมตีกบฏทั้งเจ็ดให้แตกพ่าย ให้ต้าซ่งจบความวุ่นวายนี้ลงเสียที ชาวประชาจะได้มีวันคืนสงบสุขอีกครั้ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา