ตอน บทที่ 40 ไม่บอกเจ้า จาก จอมศาสตราพลิกดารา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 40 ไม่บอกเจ้า คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
“เจ้าคงเป็นยอดฝีมือที่ทางการเชิญมาสินะ ฮ่าๆ ชีวิตของเจ้าต้องไร้ค่ามากเป็นแน่” อู่เฟยหลงหัวเราะ
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเดินไปข้างหน้าทีละก้าว พูดกลั้วยิ้มว่า “อ้อ เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้?”
“หากชีวิตเจ้ามีค่าละก็ คงไม่รีบร้อนมาหาที่ตายเองแบบนี้” สายตาของอู่เฟยหลงฉายแววโหดเหี้ยม พูดขึ้นว่า “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนจากทางการแล้วพวกข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า พวกข้าค่ายลมโชยไม่เกรงกลัวที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์ บนโลกนี้มีสภาพที่เรียกว่าตายทั้งเป็น บางครั้งการมีชีวิตอยู่จึงอาจน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย”
“ฮ่าๆ” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวหัวเราะ กล่าวว่า “มีใครเคยบอกเจ้าหรือไม่ การเสแสร้งเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง คนเสแสร้งแกล้งทำมีให้เห็นได้ทั่วไป แต่ผู้ที่ทำสำเร็จได้แท้จริงมีไม่มาก…อืม ยกตัวอย่างเช่นเจ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นคนป่าเถื่อนหยาบคาย เป็นโจรกระจอกรนหาที่ตายเท่านั้น ทว่ากลับพูดจาไร้สาระอย่างผู้ลากมากดี ไม่ได้เรื่อง”
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวก้าวย่างไปถึงตรงหน้าผู้คนของค่ายลมโชยแล้ว
หัวหน้าโจรผู้น้อยอู่เฟยหลงเผยสีหน้าดุร้าย “ไป หักขาของมัน”
“ข้าจัดการเอง” ผู้ดูแลที่เจ็ดหัวเราะเยาะ พุ่งตัวเหินเข้าหาชายหนุ่มราวนกตัวใหญ่พร้อมชักกระบี่ออกมากลางอากาศ กระบี่ยาวในมือเหมือนอสรพิษ มุ่งตรงไปยังตาสองข้างของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว “เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าจะทำลายดวงตาเจ้าเสียก่อน”
ในฐานะผู้ดูแลที่เจ็ดของค่ายลมโชย เขาเป็นผู้ผ่านทะเลเลือดและคมดาบมาเช่นกัน ไปถึงธรณีประตูของขั้นรวมจิตรางๆ แล้ว จัดได้ว่าเป็นชั้นยอดของจอมยุทธ์ระดับสองในยุทธภพ อีกทั้งมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย กระบี่เล่มนี้ถ่ายพลังไปเจ็ดส่วน สามส่วนเหลือไว้โจมตีภายหลัง หนำซ้ำมีการพลิกแพลงหลากหลายในกระบวนท่านี้ สามารถกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยม
แต่ทว่า…
ขวับ!
ประกายดาบสายหนึ่งวาบผ่าน
แสงดาบนี้เป็นอย่างไรกันแน่ สว่างกระจ่างใส ประหนึ่งสายอัสนีพาดผ่านท้องฟ้า ทุกคนรู้สึกราวกับเบื้องหน้ามีแสงแวววาวเหมือนฝันวาบผ่านไป ความงดงามอย่างยิ่งยวดในชั่วพริบตาทำให้ผู้คนใจสั่น เหมือนดาบนี้กำลังจะพรากจิตใจของทุกคนไป
เงาร่างตัดสลับกัน
ผู้ดูแลที่เจ็ดกระโจนข้ามศีรษะของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว ก่อนร่อนลงบนพื้นดินอย่างแผ่วเบา
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวไม่เหลียวมอง แต่กลับหันหน้าไปหาคนจากค่ายลมโชยทั้งหลาย คลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ใครจะเป็นรายต่อไป”
เมื่อสิ้นเสียงลง รอยเลือดค่อยๆ ปรากฏรอบคอของผู้ดูแลที่เจ็ด จากนั้นศีรษะหลุดจากคอร่วงหล่นลงพื้นเหมือนกับรวงข้าวที่ถูกเคียวเกี่ยวขาด ร่างล้มลงไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
ศีรษะถูกสะบั้น
การบั่นศีรษะผู้ดูแลที่เจ็ดเหมือนกันกับคำพิพากษาที่เฝิงหยวนซิงป่าวประกาศก่อนหน้านี้มิผิดเพี้ยน
บรรยากาศเสียงดังวุ่นวายในตอนแรกถูกทำลายอย่างกะทันหัน สีหน้ายินดีในคราวเคราะห์ผู้อื่นของเหล่าผู้ชมก็พลันแข็งค้าง
ความเย็นเยียบเข้าเกาะกุมหัวใจของคนทั้งหมด
เพราะไม่มีผู้ใดเห็นชัดเจนว่าดาบนั้นสะบั้นคอของผู้ดูแลที่เจ็ดอย่างไร
คนจากค่ายลมโชยตื่นตกใจก่อน จากนั้นจึงโกรธและเดือดดาล
“ผู้ดูแลที่เจ็ด…”
“เศษสวะ เจ้าถึงกับกล้าสังหารผู้ดูแลที่เจ็ด…”
“ค่ายลมโชยกับเจ้า ไม่ตายไม่เลิกรา”
“พี่เจ็ด…”
เหมือนรวงผึ้งถูกกระทุ้งอย่างแรง เหล่าคนค่ายลมโชยร้องโวยวาย
โดยเฉพาะผู้ดูแลที่สี่และห้า ยิ่งร้องคำรามเมื่อเห็นผู้ดูแลที่เจ็ดพี่น้องร่วมสาบานคอขาดสะบั้น พวกเขาโกรธจนบันดาลโทสะ โคจรกำลังภายในโดยไม่สนสิ่งใด ก่อนจะพุ่งออกมาดุจสายฟ้า หนึ่งทวนยาวหนึ่งดาบปราบอาชาดั่งพยัคฆ์คลั่งลงเขาและมังกรวารีคะนองน้ำ พากันตรงไปรัดคอศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว
ประกายดาบส่องแสงวาบอีกครั้ง
เป็นแสงดาบที่ชวนให้ใหลหลงอีกสาย
เงาร่างคนตัดผ่านกันไป
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเคลื่อนตัวผ่านผู้ดูแลสี่และห้า
เคร้ง เคร้ง!
ทวนยาวและดาบปราบอาชาหักกลางอย่างพร้อมเพรียงกัน
รอยตัดทรงรีที่วาดเอียงและเรียบคล้ายกระจกปรากฏขึ้นท่ามกลางอาวุธ
คอของผู้ดูแลสี่และห้าขาดสะบั้นพร้อมกันนั้น หลังจากการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้าในเวลาสั้นๆ สงบลง โลหิตคล้ายเส้นเลือดเส้นบางก็ทะลัก ศีรษะทั้งสองถูกความดันโลหิตดันกระเด็นออกไปกลิ้งหลุนๆ บนพื้นราวผ้าขี้ริ้ว
เลือดสีแดงฉานสาดกระจายไปทั่วพื้น
เป็นการลงทัณฑ์สะบั้นคออีกครั้ง
พลังของผู้ดูแลสี่และห้าแข็งแกร่งมากกว่าคนมุทะลุอย่างผู้ดูแลเจ็ดเสียอีก พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ระดับสองที่ห่างจากขั้นรวมจิตเพียงครึ่งก้าว ผ่านประสบการณ์ต่อสู้สังหารมามากกว่า แม้ทั้งสองจะร่วมมือกันโจมตี กลับยังถูกศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเข่นฆ่าในหนึ่งดาบอย่างง่ายดาย นี่หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าพลังที่ทั้งสองฝ่ายถือครองไม่สามารถเทียบกันได้เลย
เหล่าจอมยุทธ์ที่มุงดูอยู่รอบๆ ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้แล้ว
คนในยุทธภพที่กำลังดูเรื่องสนุกรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวผู้นี้ไม่เล่นตามหลักการทั่วไป
จัดการผู้น้อย ยั่วโทสะผู้เฒ่า นี่คือกฎตายตัวในยุทธภพ
ขอเพียงข่าวที่นี่กระจายออกไป เกรงว่าในวันพรุ่งนี้ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ จะมาปรากฏกายที่อำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว
กระตุ้นโทสะของคนบ้าอย่าง ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ เข้า เกรงว่าทั้งเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์จะล่มสลายกลายเป็นขุมนรก ทุกคนต่างรู้กันว่าอู่เฟยหลงเป็นบุตรชายคนเดียวของอู่เปียว อีกทั้งยังเป็นลูกที่ได้มายามแก่ตัว ตลอดมาถูกประคบประหงมเป็นอย่างดี หากอู่เปียวรู้ว่าอู่เฟยหลงถูกฆ่าตายอย่างน่าอนาถเพียงนี้ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ มีหรือที่จะไม่คลั่ง
จอมยุทธ์เหล่านี้เริ่มคิดจะหลบหนีจากอำเภอขาวพิสุทธิ์กันแล้ว
พวกเขาต่างกลัวจะโดนลูกหลงจาก ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวที่บ้าคลั่ง
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าใด
เขามองรอยเลือดบนพื้นพลางคิดเกี่ยวกับกระบวนท่าดาบของตนเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดยิ่งว่าหากเขาปะทะกับจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ‘ตัดอสุนี’ ที่พยายามสร้างขึ้นในบรรดาหกดาบวายุเมฆายังไม่สามารถบรรลุถึงระดับ ‘หนึ่งดาบเด็ดวิญญาณ สิ้นชีพไม่รู้ตัว’
จ้าวหรงเฉิงแห่งพรรคป่าไผ่ที่ถูกสังหารก่อนหน้านี้ใช้เวลาหนึ่งถ้วยชาถึงจะมีคนรู้สึกตัวว่าเขาสิ้นชีพไปแล้ว แต่สำหรับผู้ดูแลสี่ ห้า เจ็ด และอู่เฟยหลงเมื่อครู่ แสงของดาบช่วงชิงวิญญาณ แต่บาดแผลกลับปรากฏให้เห็นทันที
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผลจากการฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
แต่สะท้อนให้เห็นถึงข้อบกพร่องของวิชาดาบ
เมื่อพบคนที่มีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน พลังที่ต้องใช้สังหารย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง แสดงให้เห็นว่ายังคงมีข้อบกพร่องในวิชาดาบของเขา
เมื่อศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวนิ่งเงียบ รอบตัวก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ
แม้แต่เหล่าลิ่วล้อค่ายลมโชยก็ยังหวาดกลัวจนไม่กล้าหนี
ทันใดนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเงยหน้าขึ้น โบกมือพร้อมกล่าวว่า “จับกุมพวกมันทั้งหมด”
ทหารมือดีของที่ว่าการอำเภอที่เตรียมพร้อมนานแล้วกรูเข้าไปดุจกระแสน้ำหลาก รายล้อมผู้คนที่เหลือของค่ายลมโชยทั้งเจ็ดสิบคนเอาไว้
ไม่มีใครกล้าต่อต้าน
เมื่อต้องเผชิญกับตัวประหลาดที่เพียงตวัดดาบสามครั้งก็สังหารผู้นำทั้งสี่ของค่ายลมโชยได้ราวหั่นผักเชือดสุกร แม้แต่คนเขลายังเข้าใจว่าจุดจบของการต่อต้านมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือไปปรโลกร่วมกับผู้ดูแลทั้งสามและหัวหน้าผู้น้อย
………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา