“จางซานเฟิงอะไรเล่า เป็นหลี่มู่”
บนเขาลอยฟ้าเมืองมรกต เต้าหลิงฟังรายงานจากเสวียนเฉิงจื่อจบก็แค่นเสียงเย็นเอ่ย
“ศิษย์ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เพียงแต่หลี่มู่เป็นสหายเก่ากับท่านหญิงหวนจู นี่ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ” เสวียนเฉิงจื่อทำหน้าฉงนสงสัย “ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินว่าสองคนนี้รู้จักกัน”
ถึงแม้เขาเมืองมรกตจะเสียหายอย่างหนักและเกิดความวุ่นวายภายในเพราะการตายของเต้าฉง แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ข่าวสารข้อมูลยังคงฉับไวแม่นยำ ย่อมจับตามองบุคคลที่ชื่อเสียงก้องไปทั่วหล้าอย่างหลี่มู่ รวมถึงเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา วิชาพลังฝึก นิสัยใจคอ ล้วนรู้กระจ่างเป็นอย่างดี อีกทั้งหลี่มู่ยังไว้ผมสั้นโดยตลอด เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก
คนในโลกนี้ก็ไม่ใช่คนโง่ หลี่มู่ไม่แม้แต่จะแปลงโฉม บอกชื่อไปมั่วๆ อาจจะปิดได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่จะปิดไปตลอดกาลได้อย่างไร
“พวกเขารู้จักกันได้อย่างไรนั้นไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือ เห็นได้ชัดว่าหลี่มู่ยืนอยู่ฝั่งท่านหญิงหวนจู ค่อนข้างจะยุ่งยากแล้ว” เต้าหลิงดูจากภายนอกอายุประมาณสี่สิบกว่า หน้าตาผอมซูบ เครายาวสีดำ บุคลิกทรงภูมิเป็นอย่างมาก ฝึกฝนเต๋ามาเป็นเวลานาน ทำให้รัศมีของเขากลมกลืนกับธรรมชาติมาก เหมือนกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น ลำพังแค่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็ยากจะทำให้คนคิดเชื่อมโยงถึงคนใจทะเยอทะยานที่วางแผนให้เกิดความขัดแย้งภายในเขาเมืองมรกตทั้งยังยึดครองตำแหน่งเจ้าสำนักคนนั้น
เสวียนเฉิงจื่อเอ่ย “จิ้นอ๋องตายแล้ว แผนของพวกเราต้องปรับเปลี่ยนสักหน่อย น่าเสียดาย ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนแท้ๆ หากจิ้นอ๋องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของซ่งเหนือได้ เช่นนั้นของในวังประสานฟ้าก็เป็นของพวกเราแล้ว”
เต้าหลิงกล่าว “งานอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแค่คิดทบทวนก็พอ ไม่จำเป็นต้องเสียใจภายหลัง”
เสวียนเฉิงจื่อเอ่ยตอบ “ศิษย์เข้าใจแล้ว แต่ว่าข้าได้ดำเนินแผนสำรองไปแล้วขอรับ คนฝ่ายจิ้นอ๋องบางคนต้อง ‘มนต์ดำประสานฟ้า’ สามารถใช้งานได้ทุกเวลา…ทว่า หลี่มู่มาปรากฏตัวที่ซ่งเหนือ ถึงอย่างไรก็เป็นจุดเปลี่ยน ตอนนี้เกรงว่าเขาคงถึงเมืองหลินอันแล้ว”
“หลี่มู่คนนี้ ทีแรกที่หุบผามรกตก็ช่วยเต้าเจินเอาไว้ ต่อมายังสังหารจิ้นอ๋องอีก เกรงว่าผู้มามีประสงค์ไม่ดี หรือว่าจะพุ่งเป้ามายังสำนักเมืองมรกตของเรา? เด็กคนนี้นับจากที่เข้ายุทธจักรมาก็ทำเรื่องเหนือความคาดหมายตลอด จำต้องป้องกันไว้” เต้าเจินคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะถาม “เขาหัวโคตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เสวียนเฉิงจื่อหมุนกายออกไป หลายอึดใจหลังจากนั้นจึงกลับมา กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตะลึง “รายงานท่านอาจารย์ วัดซ่อนมรรคาหายไปแล้ว ที่ที่วัดเคยตั้งอยู่ เขาเขียวทั้งลูก ตอนนี้เหลือเพียงแค่ระฆังสนิม ‘มรรควิถีธรรมชาติ’”
เมื่อครู่ที่เขาได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกตะลึงเป็นอย่างมาก
วัดเต๋าที่อยู่ดีๆ มีประวัติศาสตร์มากว่าพันปี บอกว่าหายไปแล้วก็จะหายไปเลยได้อย่างไร ไม่ใช่พังทลาย ไม่ใช่ย้ายที่ แต่เหมือนหายวับไปในอากาศ ร่องรอยแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่หลงเหลือเอาไว้ นี่ต่างหากคือสิ่งที่แปลก
ใครจะรู้ว่าเมื่อเต้าหลิงได้ยิน ใบหน้ากลับไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อย “อืม นับเวลาดูก็ประมาณนี้ เพียงแต่หลักธรรมบนป้ายหินวัวดำเป็นศิษย์น้องเต้าฉินที่บรรลุ หรือว่าหลี่มู่เอาไปกัน?”
เขาเรียกเต้าฉินเจ้าอารามของวัดซ่อนมรรคาว่าศิษย์น้อง เพราะพวกเขาทั้งสองเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริงๆ และเป็นถึงหนึ่งในลูกศิษย์ที่ติดตามปรมาจารย์นักพรตเต้าฉงหยาง
ความลับในอดีตพวกนี้ คนที่รู้มีไม่มากนัก
“น่าจะเป็นหลี่มู่ หลังจากที่เขาช่วยท่านหญิงหวนจูแล้วก็กลับไปเขาหัวโค” เสวียนเฉิงจื่อตอบ เขาไม่รู้จักป้ายหินวัวดำที่ว่านั่น แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการวิเคราะห์ของเขา เหตุผลนั้นง่ายดายมาก หลี่มู่ปรากฏตัวที่เขาหัวโคก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ยากนักที่จะใช้คำว่าบังเอิญมาอธิบาย
เต้าหลิงพยักหน้า กล่าวว่า “วัดซ่อนมรรคาปิดผนึก เกรงว่าอีกไม่นานพวกศิษย์น้องเต้าฉินก็คงจะมาเขาถึงลอยฟ้าแล้ว เมื่อปีนั้นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มีไม่น้อยเลย แต่ละคนล้วนมีเรื่องที่เชี่ยวชาญ มีเพียงเต้าฉินเท่านั้นที่ธรรมดาไม่โดดเด่น ได้แต่อาศัยความขยัน และก็เพราะพรสวรรค์แต่เดิมของเขาไม่โดดเด่น แต่กลับมานะบากบั่น ท่านอาจารย์จึงเคยกล่าวเอาไว้ว่าความจริงคนแบบนี้ถึงจะน่ากลัวที่สุด ทุกวันล้วนขยันขันแข็ง ทุกชั่วขณะล้วนฝึกฝน” เต้าหลิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจหลายประโยค
จากนั้นเขาพูดขึ้นอีก “สามสี่วันนี้ข้าจะปิดด่านฝึกฝน ‘คัมภีร์ฝึกลมปราณผสานเป็นหนึ่ง’ ทะลวงขั้นที่สาม ทุกอย่างที่เขาลอยฟ้าเจ้าจงเป็นคนดูแล เตรียมรับการมาเยือนของท่านเซียน แต่หากข้ายังไม่ออกจากด่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามรบกวนเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เสวียนเฉิงจื่อไม่ได้สนใจเรื่องกุมอำนาจเขาลอยฟ้าสักเท่าไหร่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วถาม “หากอาจารย์อาเต้าฉินมาต้องทำเช่นไร?”
เต้าหลิงแย้มยิ้มบาง “ฆ่าเสีย”
เมื่อครู่เขายังคิดถึงมิตรภาพศิษย์สำนักเดียวกัน แต่ตอนนี้กลับไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย
มิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ การตัดสินใจเลือกก็ส่วนการตัดสินใจเลือก
เดินคนละสายสังหารทิ้ง มีเพียงเดินทางเดียวกันกับข้าเท่านั้นถึงจะรอด
“ศิษย์เข้าใจแล้ว” เสวียนเฉิงจื่อหันกายเดินออกไป
ประตูตำหนักหินหมุนดังครึกๆ ปิดลงอย่างช้าๆ
เต้าหลิงมองร่างของเสวียนเฉิงจื่อค่อยๆ หายลับไปจากช่องประตูที่ปิดลง ใบหน้าฉายแววพึงพอใจ ถึงแม้เป็นศิษย์ที่รับเข้าสำนักมาได้ไม่กี่ปี แต่กลับเป็นคนที่เขาพอใจมากที่สุด ที่สำคัญคือเสวียนเฉิงจื่อไม่สนใจตำแหน่งอำนาจเรื่องทางโลกพวกนี้สักนิด ในใจมีเพียงความคิดเดียวนั่นคือวิถียุทธ์ ใจมุ่งแต่ฝึกยุทธ์ ทำให้เต้าหลิงมองเห็นตัวเองในอดีตอยู่รางๆ
ประตูใหญ่ปิดสนิท
เต้าหลิงหลับตาลง เริ่มขับเคลื่อนวิชา ปิดด่านฝึกฝน
รอบกายของเขามีกลิ่นอายเต๋าเป็นสายๆ หมุนวนทันที ระหว่างที่หายใจ ลวดลายเต๋าแปลกประหลาดส่องกะพริบ กฎแห่งเต๋าเคลื่อนไหว นี่ไม่ใช่วิชาลับสูงสุดของสำนักเขาเมืองมรกตแต่อย่างใด และก็ไม่ใช่วิชาของโลกนี้เช่นกัน
ทว่าเป็นวิชาที่มาจากนอกพิภพ
……
ไกลออกไปจากเขาเมืองมรกตหมื่นลี้
อารามเต๋าเก่าแก่แห่งหนึ่งในหุบเขาลึก ห่างไกลผู้คน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา