บทที่ 42 คุณชายน้อย·สำนัก – ตอนที่ต้องอ่านของ จอมศาสตราพลิกดารา
ตอนนี้ของ จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 42 คุณชายน้อย·สำนัก จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เมื่อเฝิงหยวนซิงยังเยาว์วัย เขาทุ่มความสนใจให้หนังสือและบทกวี ทั้งยังศึกษาเรื่องราวในยุทธภพอีกเล็กน้อย เขานับเป็นคนมีความสามารถ โชคไม่ดีที่เกิดมาฐานะต่ำต้อย ไม่อาจปีนป่ายถึงตำแหน่งสูงๆ ได้เป็นนายทะเบียนของอำเภอหนึ่งก็ถึงที่สุดแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเขาปรับตัวตามกระแสน้ำ ค่อยๆ เข้าร่วมกับพวกโจวอู่และเจิ้งหลงซิง คนหนุ่มที่เชื่อมั่นว่าจะ ‘สอบติดขุนนางและมีอนาคตไกล’ ในปีนั้น กลายเป็นชายวัยกลางคนจิตใจเหี้ยมโหดไปแล้ว กลางดึกที่เงียบสงัด เขาเคยรู้สึกเศร้าโศกและละอายใจอย่างมาก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดและเพราะเหตุใด เขาถึงกลายเป็นคนจำพวกที่ตัวเขาในวัยรุ่งโรจน์รังเกียจมากที่สุดไปได้
“บางทีอาจถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างไรก็ดีกว่าฝืนทวนมัน”
เฝิงหยวนซิงทอดถอนใจอยู่ข้างใน
เขาติดตามศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจนกลับไปถึงที่ว่าการอำเภอ
“ข้าต้องการพักผ่อน อย่ามารบกวนข้าจนถึงพรุ่งนี้เช้า”
ทันทีที่กลับมาถึงที่ว่าการอำเภอ ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวก็กล่าวหนึ่งประโยคแล้วหายตัวไปด้านหลังที่ว่าการ
ในห้องโถงหลักของที่ว่าการส่วนหน้า
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง
ส่วนหมิงเยวี่ยกลับกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี นางเฝ้าดูวีรกรรมของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับคนชอบชมเรื่องสนุกไม่ว่าเล็กหรือใหญ่อย่างนาง เหตุการณ์วันนี้ถึงอกถึงใจนัก
“หวังว่าศิษย์พี่ใหญ่จะได้เปิดฉากสังหารอีกในวันพรุ่งนี้ ข้าอยากบูชาเขาเสียเหลือเกิน” ดวงตาของเด็กน้อยผู้โง่งมและชื่นชอบความรุนแรงมีดวงดาววิบวับ
“คาดว่าน่าจะมีชาวยุทธ์ที่ยังอยู่ในเมืองวันพรุ่งนี้น้อยลงกว่าครึ่ง” ชิงเฟิงนวดขมับ กล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างผู้ใหญ่ “ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวไม่ได้ต้องการกำจัดให้สิ้นจริงๆ หรอก เขาล่าสังหารในวันนี้ก็แค่จะคุกคามข่มขู่ให้ตกใจกลัว พวกจอมยุทธ์ที่กระทำความผิดไว้ต้องเป็นวัวสันหลังหวะ วิ่งหนีไปเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่ายเป็นแน่ พรุ่งนี้คงหนีหายไปจนหมด”
“หืม? ไม่หรอกกระมัง?” หมิงเยวี่ยรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยิน กล่าวว่า “พวกมันจะหายไปหมด? ศิษย์พี่ใหญ่จะปล่อยให้คนเลวเหล่านั้นหนีไปได้อย่างไร?”
“คนชั่วในยุทธภพก็เหมือนต้นกุยช่ายในท้องทุ่ง ถ้าเจ้าตัดมากอหนึ่ง อีกกอหนึ่งก็จะเติบโตขึ้นมาอีก ไม่มีวันถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์” เฝิงหยวนซิงคิดถึงบางสิ่ง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่อยู่ “นอกจากนี้ในยุทธภพล้วนถือหางพรรคพวกตนมาแต่ไหนแต่ไร การสังหารคนคนหนึ่งอาจยั่วยุอาจารย์และบรรดาญาติมิตรของคนคนนั้น เท่ากับมีปัญหาตามมาอีกพรวน จะฆ่ากันจบสิ้นได้ที่ไหน”
หมิงเยวี่ยได้ยินแล้วกลับมีประกายแน่วแน่ฉายวาบในดวงตาฉ่ำน้ำคู่งาม “ยั่วยุคนเป็นกลุ่มจะกลัวอะไร ตราบใดที่พวกมันเป็นคนเลว แค่ฆ่าทิ้งให้หมดก็พอแล้วมิใช่หรือ?”
เฝิงหยวนซิงยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
สิ่งเหล่านี้ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่โง่เขลาคนนี้เข้าใจ
หมิงเยวี่ยจับคางของตนพลางพูดขึ้นด้วยความผิดหวัง “เฮ้อ..ช่างน่าเสียดายจริงๆ! พรุ่งนี้ข้ายังอยากชมเรื่องตื่นเต้นอีก หลังจากนี้ก็ไม่มีเรื่องสนุกแล้วสิ”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากประตูข้างของห้องโถงหลัก “แม่เด็กโง่ที่กลัวแต่ว่าโลกจะไม่โกลาหล เจ้าอยากเห็นเรื่องตื่นเต้นอะไรอีก”
นั่นเป็นเสียงของหลี่มู่
จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาทางประตูข้าง
“คุณชาย ท่านยุติการเก็บตัวแล้ว?” หมิงเยวี่ยกระโดดโลดเต้นขึ้นมาทันที ถามว่า “ทำไมครั้งนี้ถึงเร็วนัก”
“ข้าแค่หิวนิดหน่อยน่ะ” หลี่มู่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
สายตาของเขามองไปที่เฝิงหยวนซิงแล้วถามว่า “ในเมืองเกิดอะไรขึ้นบ้าง ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
เฝิงหยวนซิงไม่กล้าละเลย เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟัง
หลี่มู่พยักหน้าและกล่าวอย่างพอใจ “อืม…วิชาดาบของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวยังคงไร้เทียมทานเหมือนเคย ฮ่าๆๆ…ได้ความช่วยเหลือของศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าก็วางใจเก็บตัวฝึกฝนวิชาได้แล้ว”
“ข้าเกรงว่าเรื่องราวจะไม่ราบรื่นดังที่คิด” ชิงเฟิงที่กำลังนวดขมับเปิดปากช้าๆ เอ่ยราวกับเป็นผู้ใหญ่ว่า “คุณชาย แม้ว่าวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจะข่มขวัญคนบางกลุ่มแล้ว ทว่าก็ไม่อาจได้ผลกับทุกคน ดังเช่นสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้า ศึกในวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยง ทั้งยังมี ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวจากค่ายลมโชยอีก ด้วยลักษณะนิสัยของเขา หากได้ยินเรื่องการตายอนาถของบุตรชาย จะต้องพาพวกบุกมาสู้ตัดสินให้ตายตกไปตามกันแน่ พรุ่งนี้จะเกิดปัญหามากขึ้น การใช้ความรุนแรงปะทะความรุนแรงนั้นมิใช่วิธีที่ดีที่สุด จะต้องใช้ปัญญานะขอรับ”
หลี่มู่มองเด็กชายรับใช้บัณฑิตด้วยความประหลาดใจมาก ก่อนจุปากเอ่ยอย่างทึ่งๆ “เด็กน้อยผู้นี้ เจ้ายังอายุไม่ถึงสิบขวบดี ทำไมคิดวิเคราะห์รู้ความได้ถึงเพียงนี้? นิสัยของ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อะไรนั่นเจ้าก็วิเคราะห์ได้อีก?”
“คุณชายน้อยเกิดมาปราดเปรื่อง ฉลาดรอบรู้ คิดอ่านเป็นระบบ มีพรสวรรค์ด้านการทหาร แม้แต่ข้าน้อยเองก็รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้” เฝิงหยวนซิงที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ตระหนี่คำประจบประแจง กล่าวขึ้นอย่างเรียบง่ายและไม่ประดิษฐ์ประดอย
พูดจบก็กล่าวต่อไปว่า “หลายวันมานี้คุณชายน้อยนั่งตำแหน่งผู้นำของที่ว่าการ เขารวบรวมข้อมูลจากทุกทาง ทั้งยังศึกษาเรื่องยอดฝีมือในยุทธภพกับกลุ่มอิทธิพลที่น่าจับตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ได้ข้อมูลมาครบถ้วนหลายอย่าง ใต้เท้ามีเด็กเปี่ยมพรสวรรค์และรอบรู้เช่นนี้อยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือสุดความสามารถ เปรียบได้กับเป็นพยัคฆ์ติดปีกจริงๆ”
หลี่มู่หัวเราะพลางยกมือเขกหัวชิงเฟิงทีหนึ่ง “เป็นเด็กตัวน้อยคนหนึ่ง วันๆ เอาแต่คิดมากมายอย่างนี้ ไม่กลัวจะแก่เกินวัยหรือ”
ชิงเฟิงยกมือลูบศีรษะ เจ็บจนกัดฟันแน่น
เมื่อเห็นสีหน้าของเด็กชาย หลี่มู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก “เจ้าดู…ปฏิกิริยาแบบนี้ค่อยเหมือนเด็กอายุน้อยกว่าสิบปีหน่อย มิฉะนั้นข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นปีศาจจริงๆ…จะว่าไป ข้าเคยคิดมาตลอดว่าข้างตัวข้ามีเพียงปีศาจชื่อหมิงเยวี่ย ตอนนี้ดูเหมือนปีศาจที่แท้จริงจะไม่ใช่หมิงเยวี่ยเสียแล้ว แต่เป็นใต้เท้าน้อยผู้นี้ต่างหาก”
ในระหว่างที่พูด มีข้ารับใช้นำอาหารที่เตรียมไว้มาจัดเรียงบนโต๊ะ เป็นกับข้าวหกจานและน้ำแกงหนึ่งชาม อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก
หมิงเยวี่ยร้องอย่างยินดี จากนั้นรีบพุ่งตรงไปที่โต๊ะอาหาร
“อ๊ะ? ช้าก่อน….เหลือให้ข้าบ้าง…” หลี่มู่ก็รีบพุ่งเข้าไปเช่นกัน
เด็กชายรับใช้บัณฑิตเปลี่ยนสีหน้าทันใด เมื่อเขานึกถึงท่าทางกินเรียบไม่เหลือของทั้งสองก็เลิกสงวนท่าที กระโจนเข้าไปเช่นเดียวกัน
เฝิงหยวนซิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างหมดคำพูด
หนึ่งหนุ่มสองเด็ก คนพิเศษสามคน
แค่กินข้าวเท่านั้น จะยื้อแย่งกันไปทำไม
ใช่ว่ากินหมดมื้อนี้แล้วจะไม่มีกินอีกเสียหน่อย
แต่สำนักของใต้เท้าขุนนางเมืองมีภูมิหลังอย่างไรกันแน่ ก่อนหน้านี้มีศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวที่อาละวาดไปสี่ทิศ ยามนี้แม้แต่ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวกับทหารม้าหกร้อยนายจากค่ายลมโชยก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา หรือว่าเขาเป็นคนสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์? ไม่ถูกต้อง สำนักนี้ขึ้นชื่อเรื่องวิชากระบี่ แต่ไรมาศิษย์ในสำนักไม่เคยฝึกวิชาดาบนี่
……
“สำนัก? ฮ่าๆ ตัวข้าคนเดียวก็นับเป็นสำนักแล้วละ”
ในห้องฝึกยุทธ์
หลี่มู่หัวเราะเหมือนทำแผนชั่วสำเร็จอยู่หน้ากระจก
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวย่อมเป็นตัวตนที่เขาสร้างขึ้นอยู่แล้ว
การฝึกฝนพิสูจน์ให้เห็น หลังจากเชื่อมหมัดยุทธ์แท้ท่าที่หนึ่ง ‘ค้อนทะยานฟ้า’ และท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ เข้าด้วยกัน การควบคุมกล้ามเนื้อและกระดูกของร่างกายก็ไปถึงขั้นเหนือกว่าคนทั่วไป เขาใช้วิธีใหม่ที่สร้างขึ้นนี้ฝึก ‘ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก’ จนสำเร็จ สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ถึงขั้นส่วนสูงและขนาดตัวยังเปลี่ยนได้ ด้วยเหตุนี้ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจึงถือกำเนิดขึ้น
…………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา