เมื่อเฝิงหยวนซิงยังเยาว์วัย เขาทุ่มความสนใจให้หนังสือและบทกวี ทั้งยังศึกษาเรื่องราวในยุทธภพอีกเล็กน้อย เขานับเป็นคนมีความสามารถ โชคไม่ดีที่เกิดมาฐานะต่ำต้อย ไม่อาจปีนป่ายถึงตำแหน่งสูงๆ ได้เป็นนายทะเบียนของอำเภอหนึ่งก็ถึงที่สุดแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเขาปรับตัวตามกระแสน้ำ ค่อยๆ เข้าร่วมกับพวกโจวอู่และเจิ้งหลงซิง คนหนุ่มที่เชื่อมั่นว่าจะ ‘สอบติดขุนนางและมีอนาคตไกล’ ในปีนั้น กลายเป็นชายวัยกลางคนจิตใจเหี้ยมโหดไปแล้ว กลางดึกที่เงียบสงัด เขาเคยรู้สึกเศร้าโศกและละอายใจอย่างมาก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดและเพราะเหตุใด เขาถึงกลายเป็นคนจำพวกที่ตัวเขาในวัยรุ่งโรจน์รังเกียจมากที่สุดไปได้
“บางทีอาจถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างไรก็ดีกว่าฝืนทวนมัน”
เฝิงหยวนซิงทอดถอนใจอยู่ข้างใน
เขาติดตามศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจนกลับไปถึงที่ว่าการอำเภอ
“ข้าต้องการพักผ่อน อย่ามารบกวนข้าจนถึงพรุ่งนี้เช้า”
ทันทีที่กลับมาถึงที่ว่าการอำเภอ ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวก็กล่าวหนึ่งประโยคแล้วหายตัวไปด้านหลังที่ว่าการ
ในห้องโถงหลักของที่ว่าการส่วนหน้า
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง
ส่วนหมิงเยวี่ยกลับกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี นางเฝ้าดูวีรกรรมของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับคนชอบชมเรื่องสนุกไม่ว่าเล็กหรือใหญ่อย่างนาง เหตุการณ์วันนี้ถึงอกถึงใจนัก
“หวังว่าศิษย์พี่ใหญ่จะได้เปิดฉากสังหารอีกในวันพรุ่งนี้ ข้าอยากบูชาเขาเสียเหลือเกิน” ดวงตาของเด็กน้อยผู้โง่งมและชื่นชอบความรุนแรงมีดวงดาววิบวับ
“คาดว่าน่าจะมีชาวยุทธ์ที่ยังอยู่ในเมืองวันพรุ่งนี้น้อยลงกว่าครึ่ง” ชิงเฟิงนวดขมับ กล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างผู้ใหญ่ “ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวไม่ได้ต้องการกำจัดให้สิ้นจริงๆ หรอก เขาล่าสังหารในวันนี้ก็แค่จะคุกคามข่มขู่ให้ตกใจกลัว พวกจอมยุทธ์ที่กระทำความผิดไว้ต้องเป็นวัวสันหลังหวะ วิ่งหนีไปเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่ายเป็นแน่ พรุ่งนี้คงหนีหายไปจนหมด”
“หืม? ไม่หรอกกระมัง?” หมิงเยวี่ยรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยิน กล่าวว่า “พวกมันจะหายไปหมด? ศิษย์พี่ใหญ่จะปล่อยให้คนเลวเหล่านั้นหนีไปได้อย่างไร?”
“คนชั่วในยุทธภพก็เหมือนต้นกุยช่ายในท้องทุ่ง ถ้าเจ้าตัดมากอหนึ่ง อีกกอหนึ่งก็จะเติบโตขึ้นมาอีก ไม่มีวันถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์” เฝิงหยวนซิงคิดถึงบางสิ่ง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่อยู่ “นอกจากนี้ในยุทธภพล้วนถือหางพรรคพวกตนมาแต่ไหนแต่ไร การสังหารคนคนหนึ่งอาจยั่วยุอาจารย์และบรรดาญาติมิตรของคนคนนั้น เท่ากับมีปัญหาตามมาอีกพรวน จะฆ่ากันจบสิ้นได้ที่ไหน”
หมิงเยวี่ยได้ยินแล้วกลับมีประกายแน่วแน่ฉายวาบในดวงตาฉ่ำน้ำคู่งาม “ยั่วยุคนเป็นกลุ่มจะกลัวอะไร ตราบใดที่พวกมันเป็นคนเลว แค่ฆ่าทิ้งให้หมดก็พอแล้วมิใช่หรือ?”
เฝิงหยวนซิงยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
สิ่งเหล่านี้ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่โง่เขลาคนนี้เข้าใจ
หมิงเยวี่ยจับคางของตนพลางพูดขึ้นด้วยความผิดหวัง “เฮ้อ..ช่างน่าเสียดายจริงๆ! พรุ่งนี้ข้ายังอยากชมเรื่องตื่นเต้นอีก หลังจากนี้ก็ไม่มีเรื่องสนุกแล้วสิ”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากประตูข้างของห้องโถงหลัก “แม่เด็กโง่ที่กลัวแต่ว่าโลกจะไม่โกลาหล เจ้าอยากเห็นเรื่องตื่นเต้นอะไรอีก”
นั่นเป็นเสียงของหลี่มู่
จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาทางประตูข้าง
“คุณชาย ท่านยุติการเก็บตัวแล้ว?” หมิงเยวี่ยกระโดดโลดเต้นขึ้นมาทันที ถามว่า “ทำไมครั้งนี้ถึงเร็วนัก”
“ข้าแค่หิวนิดหน่อยน่ะ” หลี่มู่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
สายตาของเขามองไปที่เฝิงหยวนซิงแล้วถามว่า “ในเมืองเกิดอะไรขึ้นบ้าง ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
เฝิงหยวนซิงไม่กล้าละเลย เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟัง
หลี่มู่พยักหน้าและกล่าวอย่างพอใจ “อืม…วิชาดาบของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวยังคงไร้เทียมทานเหมือนเคย ฮ่าๆๆ…ได้ความช่วยเหลือของศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าก็วางใจเก็บตัวฝึกฝนวิชาได้แล้ว”
“ข้าเกรงว่าเรื่องราวจะไม่ราบรื่นดังที่คิด” ชิงเฟิงที่กำลังนวดขมับเปิดปากช้าๆ เอ่ยราวกับเป็นผู้ใหญ่ว่า “คุณชาย แม้ว่าวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวจะข่มขวัญคนบางกลุ่มแล้ว ทว่าก็ไม่อาจได้ผลกับทุกคน ดังเช่นสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้า ศึกในวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยง ทั้งยังมี ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวจากค่ายลมโชยอีก ด้วยลักษณะนิสัยของเขา หากได้ยินเรื่องการตายอนาถของบุตรชาย จะต้องพาพวกบุกมาสู้ตัดสินให้ตายตกไปตามกันแน่ พรุ่งนี้จะเกิดปัญหามากขึ้น การใช้ความรุนแรงปะทะความรุนแรงนั้นมิใช่วิธีที่ดีที่สุด จะต้องใช้ปัญญานะขอรับ”
หลี่มู่มองเด็กชายรับใช้บัณฑิตด้วยความประหลาดใจมาก ก่อนจุปากเอ่ยอย่างทึ่งๆ “เด็กน้อยผู้นี้ เจ้ายังอายุไม่ถึงสิบขวบดี ทำไมคิดวิเคราะห์รู้ความได้ถึงเพียงนี้? นิสัยของ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อะไรนั่นเจ้าก็วิเคราะห์ได้อีก?”
“คุณชายน้อยเกิดมาปราดเปรื่อง ฉลาดรอบรู้ คิดอ่านเป็นระบบ มีพรสวรรค์ด้านการทหาร แม้แต่ข้าน้อยเองก็รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้” เฝิงหยวนซิงที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ตระหนี่คำประจบประแจง กล่าวขึ้นอย่างเรียบง่ายและไม่ประดิษฐ์ประดอย
พูดจบก็กล่าวต่อไปว่า “หลายวันมานี้คุณชายน้อยนั่งตำแหน่งผู้นำของที่ว่าการ เขารวบรวมข้อมูลจากทุกทาง ทั้งยังศึกษาเรื่องยอดฝีมือในยุทธภพกับกลุ่มอิทธิพลที่น่าจับตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ได้ข้อมูลมาครบถ้วนหลายอย่าง ใต้เท้ามีเด็กเปี่ยมพรสวรรค์และรอบรู้เช่นนี้อยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือสุดความสามารถ เปรียบได้กับเป็นพยัคฆ์ติดปีกจริงๆ”
หลี่มู่หัวเราะพลางยกมือเขกหัวชิงเฟิงทีหนึ่ง “เป็นเด็กตัวน้อยคนหนึ่ง วันๆ เอาแต่คิดมากมายอย่างนี้ ไม่กลัวจะแก่เกินวัยหรือ”
ชิงเฟิงยกมือลูบศีรษะ เจ็บจนกัดฟันแน่น
เมื่อเห็นสีหน้าของเด็กชาย หลี่มู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก “เจ้าดู…ปฏิกิริยาแบบนี้ค่อยเหมือนเด็กอายุน้อยกว่าสิบปีหน่อย มิฉะนั้นข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นปีศาจจริงๆ…จะว่าไป ข้าเคยคิดมาตลอดว่าข้างตัวข้ามีเพียงปีศาจชื่อหมิงเยวี่ย ตอนนี้ดูเหมือนปีศาจที่แท้จริงจะไม่ใช่หมิงเยวี่ยเสียแล้ว แต่เป็นใต้เท้าน้อยผู้นี้ต่างหาก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา